FanFic : witchking of angmar and mouth of sauron 02
FanFic :《LORD OF THE RING》 : witchking of angmar & mouth of sauron : 02
Rate : PG (?)
คุยกันก่อน : ขอกล่าวเตือนอีกครั้ง อย่าหาสาระจากFanFicนี้ แอบเขียนแบบAUนิดๆ(หรอ?)//หัวเราะ
Rate : PG (?)
คุยกันก่อน : ขอกล่าวเตือนอีกครั้ง อย่าหาสาระจากFanFicนี้ แอบเขียนแบบAUนิดๆ(หรอ?)//หัวเราะ
กลางคืนเข้ามาเยือนเปลี่ยนมอร์ดอร์กลายเป็นดินแดนมืดมิดอ้างว้างเหมือนไม่มีสิ่งใดอาศัยอยู่ กลางวันที่ว่าเงียบงันแล้วเมื่อตกกลางคืนกลับเงียบงันจนน่าหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่า แสงสว่างในยามวิกาลหาใช่แสงนวลจากดวงจันทราหรือหมู่ดาราที่สุกสกาวแต่งแต้มความสวยงามบนฟากฟ้ายามราตรี แต่เป็นนัยน์ตาสีส้มสดเหนือหอคอยทมิฬต่างหากเล่าที่มอบความสว่างแก่มอร์ดอร์
แสงสีส้มอ่อนทอดยาวจากดวงตาไปทุกแห่งหนในดินแดนมอร์ดอร์ ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นดวงตาดวงนี้ได้ไม่ว่าจะกลางวันรึกลางคืนสิ่งเล็กรึสิ่งใหญ่ ภาพในมอร์ดอร์ผ่านเข้ามาเหมือนเดิมวันแล้ววันเล่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เว้นเสียแต่ว่าตอนนี้ภาพที่ปรากฏในเวลานี้ไม่ใช่มอร์ดอร์กลับเป็นความมืดมิดแทน
ความมืดตรงหน้าบิดเบี้ยวราวกับมีใครกำลังเล่นตลกกับมิติอยู่ เวลาผ่านไปไม่นานเสียง
เหมือนกระจกนับร้อยๆบานแตกก็ดังขึ้นพร้อมช่องโหว่ขนาดไม่ใหญ่นักปรากฏต่อนัยน์ตาสีส้ม
แขนข้างขวาที่ดูคล้ายแขนของมนุษย์ยื่นออกมาจากช่องโหว่นันเคลื่อนเข้ามาใกล้ดวงตามาก
ขึ้น เจ้าดวงตาพยายามจะเคลื่อนกายหนีแต่ไม่อาจทำได้ต้องจำใจยอมให้มือที่ยื่นมาสัมผัสตน
ฝ่ามือนั่นแม้หยาบกร้านแต่กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยนอย่างผิดคลาด
ดวงเนตรแสดกระตุกขึ้นก่อนจะบีบตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนรูปลักษณ์จากดวงตามา
เป็นร่างที่งดงามยากจะแยกว่าเป็นเพศใดปรากฏขึ้นในสภาพไร้อาภรณ์บดบังกาย เส้นผมละเอียดเงางามสีส้มเป็นลอนแผ่สยายกลางเกือบถึงเอวที่คอดกิ่ว เจ้าตัวสำรวจร่างกายอย่าง
ประหลาดใจ
"...รอน" เสียงอันแสนคุ้นเคยดังขึ้น เสียงที่ปลอบประโลมยาวท้อแท้ เสียงที่คอยเคียงข้างยามเจ็บปวด "เซารอน" เจ้าของชื่อสะท้านวาบไปทั่วกลายดุจเลือดในกายกำลังเดือดพ่าน
"เมลคอร์ นั่นเจ้าใช่ไหม---" น้ำเสียงที่ไม่ปกปิดความยินดีเอ่ยจากริมปากได้รูป อดีตเทพไมอา
หมุนตัวรอบทิศเพื่อหาที่มาของเสียงท่ามกลางความมืด มือเรียวคว้านหาออกไปในอากาศแต่
กลับไปพบสิ่งใด "เมลคอร์..." ร่างบางรู้สึกอ่อนไปทั่วกาย
มือแกร่งยื่นออกมาดึงเอวเซารอนที่ทำท่าทรุดลง แผ่นหลังเนียนสัมผัสได้ถึงความแกร่งของ
แผ่นอกและกล้ามท้อง ลมหายใจอุ่นจากกายผู้ที่อยู่ด้านหลังรดต้นคอขาวนวลน่าขบกัดเป็นจัง
หวะช้าๆ "ในที่สุดก็ได้เจอกันเสียที ช่างนานมากเหลือเกินนับตั้งแต่วันนั้น" เสียงทุ้มกล่าวพร้อม
ใบหน้าคมสันซุกลงหลังต้นคอเปี่ยมด้วยความโหยหา
ร่างในอ้อมกอดหมุนตัวไปเผชิญหน้าของอีกฝ่าย ใบหน้าเจ้าของเรือนผมสีดำเข้มไม่ต่างจากรัตติกาล หากมีแสงสว่างมากกว่านี้ดวงตาสีส้มกระจ่างใสคงได้สบกับดวงตาสีดำเข้มน่าค้าหา
ร่างเล็กซบลงเหนือแผ่นอกของอีกฝ่ายที่ไร้สิ่งปกปิดไม่ต่างจากตน
"เจ้าออกมาจากห้วงมืดได้อย่างไรกันเมลคอร์" ร่างสีส้มซุกอีกฝ่ายแน่นจนเสียงที่พูดมาดังอู้อี้แทบไม่เป็นคำ
เมลคอร์คลี่ยิ้มบางเชิดใบหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาหมายจะสบตา "ข้าไม่ได้ออกมาเซารอน ข้าเพียง
ส่งดวงจิตมาเท่านั้นและดึงให้ดวงจิตของเจ้าออกมาในมิติที่ข้าสร้างขึ้น" น้ำเสียงทุ้มเงียบลงซักพักแล้วกล่าวอย่างตลกขึ้นแต่ก็เจือด้วยความเศร้า "หากข้ามีพลังมากกว่านี้ข้าจะสร้างเจ้ามิตินี่ให้สวยงามดั่งตอนที่เราอยู่ด้วยกัน" ร่างสูงน้อมตัวประทับริมฝีปากเหนือหน้า
ผากกว้างของร่างบางเคลื่อนลงตามสันจมูกช้าๆแลัวหยุดลงที่ริมปากนิ่ม
ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อย "อา...ดูเหมือนจะหมดเวลาแล้วสิ" เซารอนมองร่างเมลคอร์ที่เริ่ม
สลายไปช้าๆไปกับความมืด "ขอโทษนะเซารอน"
"อย่าพึ่งสิเมลคอร์ ข้ายังมีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้บอกเจ้าเลย" มือเรียวพยายามคว้าร่างของ
อีกฝ่ายแต่ทำได้แค่คว้าเพียงอากาศธาตุ หยาดน้ำใสไหลรินจากดวงตาคู่งามอาบพ่วงแก้มทั้ง
สองข้าง "ข้ารักเจ้าเมลคอร์ รักเจ้าเสมอไป"
"ข้าก็เช่นกัน" เมลคอร์ยิ้มให้เซารอนเป็นครั้งสุดแล้วอันตธานหายไปพร้อมวามมืดที่เคยเห็นรอบกายเปลี่ยนกลับมาเป็นดินแดนมอร์ดอร์ในสายตาเซารอนอีกครั้ง
ณ ห้องพักของนาซกูลโรคจิตที่วางแผนถ้ำมองชาวบ้าน...
'เจ้าคิดว่าระหว่างวิซคิงกับเจ้าปากเน่าใครจะโดนกด' เหล่านาซกูลทั้งหกนั่งประชุมสุมหัวกันอยู่กับพื้น ขบคิดเรื่องวิตภารที่หมายจะทำ
'หัวศัตรูร้อยหัว...' นาซกูลตนนึงกล่าวขึ้นทำให้อีกห้าตนที่เหลือหันมามอง 'หัวศัตรูร้อยหัวในสงครามครั้งทันไปพนันว่าวิซคิงโดนกด'
'ข้าให้สามร้อย เจ้าโอษฐ์นั่นโดนกดเละ' เจ้าตนที่นั่งข้างๆไม่ยอมยกนิ้วขึ้นมาชูสามนิ้ว
'พวกนั่นสลับกันทำ ข้าให้ห้าร้อยหัว-!' นาซกูลที่นั่งเงียบมานานตะโกนลั่นพร้อมกางนิ้วทั้งห้า
ออกมาอย่างมั่นใจ การถกเถียงยังคงดำเนินไปเรื่อยๆจนพวกที่นอนอยู่บนเตียงทนไม่ไหวลุก
ขึ้นมาตะคอกใส่พวกโหวกเหวกข้างล่างด้วยความหงุดหงิด
'โวร๊ยยยย รำคาญเวร๊ย คนจะหลับจะนอน หุบปากซะ แล้วไปถ้ำมองได้แล้วไป' นาซกูลเลือดร้อนคว้าหมอนที่วางอยู่ใกล้ๆปาใส่พวกที่เพิ่งด่าไปหมาดๆทันที
'หึ ไปก็ได้' หกนาซกูลพากันลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
'เดี๋ยวก่อน' ผู้ที่อยู่บนเตียงอีกหนึ่งทักขึ้น 'พันหัวเจ้าพกนั้นได้กันและพวกเจ้าโดนจับได้ หึๆ'
คำมีโอกาสให้หัวเราะต่อไปได้นาน ฝ่าเท้าของหกภูตแหวนก็ลอยมาเกยบนใบหน้าทันทีแถม
เลยไปโดนร่างที่อยู่ข้างๆอีกนิดหน่อย
'ปากเสียดีนักนะ' ภูตแหวนที่เหลือย้ายร่างออกไปนอกห้องทันทีทิ้งให้เจ้าพวกปากเน่าๆนอน
ร้องโอดครวญอยู่บนเตียงกันสองตน
ร่างทั้งหกเดินออกมาห้องโถงกว้างที่ไม่มีการตกแต่งประดับประดาสิ่งใดเลย พลันสายตาพวกเขาก็เห็นเหล่าออร์คยี่สิบกว่าตนอาวุธครบมือวิ่งขึ้นมาจากบันไดมุ่งไปที่ห้องผู้ที่เล็งจะถ้ำมองเอาไว้ ด้วยจิตที่สื่อถึงกันได้ภูตแหวนชักดาบออกมาอย่างว่องไวพุ่งทะยานเข้าใส่พวก
ออร์คนั่นทันที คบดาบเฉือดเฉือนร่างพวกออร์คอย่างไม่ปราณี บ้างปลายดาบก็แทงทะลุเข้าไปในสมองที่มีปัญหาอันน้อยนิด บ้างก็ปาดเข้าที่คอเป็นแผลเหวอะสาดเลือดกระเซ็นไปเต็มพื้น ออร์คเกือบทั้งหมดถูกเก็บเรียบในชั่วพริบตา นาซกูลตนนึงสาวเท้าเข้าใกล้ออร์คตนสุดท้ายอย่างฉับไหว
'บอกธุระของมาเจ้าตัวโสโครก' มือแกร่งบีบคอออร์คตนนั่นแน่น เสียงกระดูกที่คอพากันดังราวกับแตกหัก 'อย่าคิดที่จะโกหกแม้แต่นิด การขึ้นมาจำนวนขนาดนี้พร้อมอาวุธคงไม่ได้มารายงานข่าวสินะ'
เมื่อเห็นว่าชีวิตอยู่ในขั้นริบหรี่มันจึงล้วงมือดึงดาบสั้นที่อยู่ข้างหลังแทงไปที่ข้อมืออีกฝ่าย
อย่างรวดเร็วแล้วร้องออกมาดังลั่นก่อนจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกเพราะมือที่กุมลำคออยุ่นั้นหักคอของตนเสียแล้ว
"เสียงออร์ค...มันแหกปากอะไรของมันกัน" ร่างบางดันกลายขึ้นอย่างงัวเงีย สาบเสื้อเปิดกว้างขึ้นจนเห็นแผ่นอกชัดเจนแต่เจ้าตัวก็ไม่ใส่ใจนัก ปลายมือเลื่อนไปชนร่างข้างๆที่กำลังหลับอยู่ "อึ๊ก- ตกใจหมด ลืมไปเลยนะเนี่ย" มุมปากเจ้าตัวกระตุกเบาๆ
มือเล็กที่ไม่น่าจะกุมดาบไหวเคลื่อนไปคร่อมร่างอีกฝ่ายเอาไป "ดูๆแล้ว ชักอยากรู้เสียจริงมา
ร่างกาบของภูแหวนจะเป็นอย่างไร" มือซุกซนอีกข้างพยายามเปิดผ้าที่คลุมใบหน้าอีกฝ่ายแต่มันทันได้เปิดก็ถูกกำที่ข้อมืออย่างแรงจนร้องออกมาแล้วถูกดึงให้มาคร่อมกายคนด้านล่างทันทีด้วยพละกำลังมหาศาลจนยากจะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันผู้ที่ไม่ได้สติในตอนเย็น
พวกถ้ำมองแอบแง้มประตูมองเหตุการณ์ที่โอษฐ์แห่งเซารอนคร่อมร่างวิซคิงอย่างตกตะลึง
ไม่เชื่อสายตาตัวเอง เป็นไปไม่ได้อย่างวิซคิงเนี่ยนะจะโดนไอ้ปากเน่ากดได้
'นี่ต้องล้อเล่นแน่ๆ' เจ้าตนที่พนันว่าร่างบางจะโดนกดกล่าวเสียงเครียด
'ชู่ว เงียบสิ' มือแกร่งไปปิดบริเวณที่คาดว่าเป็นปากอย่างรวดเร็วและกดแรงขึ้นเมื่อคนข้างล่างพยายามขัดขืนจนยอมสงบแล้วถึงคลายมือออก และแล้วสายตาทั่งหกคู่ก็เริ่มปฏิบัติการณ์ถ้ำมอง
"เมื่อครู่นี้เจ้าคิดจะทำอะไรห๊ะเจ้าโอษฐ์" น้ำเสียงทุ้มกดต่ำจนน่าหวั่นใจ ดึงร่างด้านบนให้ประชิดแนบกายตนมากขึ้น
"ไม่ได้ทำอะไร ละเม้อเองไปมากกว่าเจ้างี่เง่า" โอษฐ์แห่งเซารอนปฏิเสธอีกฝ่ายหน้าด้านพอแถมคำพูดที่ไม่ชวนพิศมัยอย่างไม่เกรงกลัว
"ในเมื่อพูดดีๆไม่ฟังกันข้าคงต้องสั่งสอนเจ้าเสียแล้ว" เหล่านาซกูลที่แอบดูพากันลุ้นระทึก
กับคำพูดของวิซคิงด้วยความตื่นเต้น ใช่เลย เอาเลย สั่งสอนมันซะวิซคิง
มือซ้ายเอื้อมไปจับหลังคอโอษฐ์แห่งเซารอนแน่น ขาทั้งสองก็ใช้ล็อคขาอรกฝ่ายด้วยเช่นกัน
เพื่อไม่ให้ขยับไปไหนได้ มือขวาในสภาพที่ยังไม่ได้ถอดเกราะแขนออกจ่อปลายนิ้วแหลมที่ริมฝีปากชวนคลื่นไส้
"อ้าปาก..." เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมทำตามที่บอก นิ้วแหลมจึงทำการแหย่เขาปากทันที การขัดขืนของโอษฐ์แห่งซารอนไม่ได้ช่วยให้วิซคิงเลิกล้มความพยายามแม้แต่นิดกลับกระทำให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ยิ่งวิซคิงล้วงเข้าไปลึกขึ้นเท่าไหร่ความแหลมคมที่ปลายนิ้วกับข้อต่อก็ยิ่งบาดโพรงมากคนด้านบนมากขึ้น
"อ่อกๆ พะ พอแล้ว หยุด...เดี๋ยวนี้" โอษฐ์แห่งเซานอนพูดอย่างยากลำบาก เลือดข้นในปากที่ไหลลงคอไม่ทันพากันทะลักออกมากจากปากเปรอะเปื้อนร่างทั้งสองโดนเฉพาะร่างที่ให้อีกฝ่ายคร่อมกาย
วิซคิงไม่ตอบคงยังล้วงต่อไปโดยไม่แยแสนิ้วที่ใส่เข้าไปเพียงแค่สองถูกใส่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง ต้นคอร่างบางถูกกดให้ใบหน้ากดต่ำลง นิ้วของวิซคิงไม่ทำแค่แหย่แต่ยังคว้านข้างในโพรงปากเหมือนกำลังหาสิ่งของสร้างบาดแผลอีกขึ้นมากมาย ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วปากทั้งลามถึงส่วนอื่นๆส่งผลให้ร่างกายโอษฐ์แห่งเซารอนสั่นสะท้านอีกครั้ง ใครจะนึกว่าคนที่น่าหมดสภาพไปแล้วกลับมีแรงเหลือเพ้อจะทำเรื่องแบบนี้ได้
เมื่อใช้นิ้วเล่นกับปากอีกฝ่ายจนพอใจแล้ววิซคิงก็ถอนนิ้วออกมา เกราะแขนสีเงินหม่นกลายเป็นสีแดงเข้มของเลือด เจ้าตัวสะบัดนิ้วเบาๆเพื่อเอาเลือดและคราบน้ำลายออกไป พลิกร่างที่สติจวนจะหลุดนอนกับเตียงเป้นฝ่ายที่อยู่ข้างล่างเสียแทน
'แบบนี้น่าจะเรียกทรมาณมากกว่าลักหลับ..."
'ถ้าไม่ดูก็กลับห้องไปสิ'
'ไม่กลับจะทำไม'
เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยึดเกิดกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ "ไอ้...สวะเอ๊ย" ความคิดในด้านดีที่มีต่อวิซคิงหายไปหมดกลายเป็นเอาดาบมาฟันแทน ใช่ ดาบ โอษฐ่แห่งเซารอนนึกได้จึงพยายามเอื้อมมือไปคว้าดาบที่อยู่ข้างที่นอนแต่กลับถูกวิซคิงต่อยเข้าที่ข้อพับแขนอย่างแรงจนต้องแผ่วเสียงร้องออกมาพร้อมเลือดด้วยความเจ็บ
"รู้ไหมการถ้ำมองคนอื่นมันไม่ดี กลับห้องพวกเจ้าไปซะ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน" วิซคิงกล่าวเสียงเข้มโดยไม่หันไปมอง
'เวรหล่ะ วิซคิงรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน'
'รับไปเหอะ ถ้ามันโกรธขึ้นมาเป็นเรื่องแน่'
'อย่างน้อยข้าก็ชนะพนัน'
'มันใช่เวลาไหมห๊ะ' เหล่านาซกูลรีบพากันวิ่งกลับห้องอย่างรวดเร็ว เหมือนเสียงฝีเท้าเงียบไปแล้ววิซคิงก็กลับมาสนใจคนข้างล่างอีกครั้ง
"ไม่ต้องกลัวไปเจ้าโอษฐ์ ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกดีเอง" วิซคิงก้มลงแนบชิดร่างอีกฝ่าย ใบหน้าห่างกันเพียงแค่รู้สึกถึงลมหายใจได้ โอษฐ์แห่งเซารอนไม่มีแรงขัดขืยอีกแล้วทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำตามพอใจ เสื้อผ้าถึงปลดเปลื้องอย่างรวดเร็ว และแล้วการสั่งสอนของวิซคิงก็ได้เลยต้นขึ้น
อาทิตย์พ้นขอบฟ้าบ่งบอกเวลารุ่งสางในมอร์ดอร์ เหล่านาซกูลทั้งแปดพร้อมใจกันยืนหน้าห้องของพวกกระทำกิจกรรมยามค่ำคืนพร้อมเสียงเคาะประตูเสียงคนข้างใน บานประตูเปิดขึ้น ร่างของผู้ที่มาเปิดทำให้ภูตแหวนต้องผงะ เมื่อเห็นโอษฐ์แห่งเซารอนมาเปิดประตูในสภาพกระเซอะกระเซิงสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตตัวยาวปิดเลยส่วนนั้นมาไม่มากนัก
"มีอะไรแต่เช้าห๊ะไอ้พวกบัดซบ" เจ้าคนสวมน้อยชิ้นจ้องไปที่พวกนาซกูลแล้วเอาแขนยันประตูไว้ นาซกูลทั้งหลายไปตอบเพียงแต่มองไปที่หว่างขาคนตรงหน้า บาดแผลที่น่าจะมาจากเกราะแขนของให้เห็นเด่นชัด "ไอ้พวกวิตถารนี่" เสียด่าเริ่มตามมาแถมเลือดไหลออกมาจากปากให้อีกด้วย
"อย่าไปว่าพวกเขาสิเจ้าโอษฐ์ เห็นไหมแผลยังไม่ทันหายเลยเลือดออกมาแล้ว" ผู้มาทีหลังกอดร่างบางแน่น
น้ำเสียงอ่อนโยนนี่มันอะไรกัน รึว่าไอ้สองคนนี้มัน... บ้าหน่า... นาซกูลทั้งหลายนึกขึ้นพร้อมกันด้วยความตื่นตะลึง จนนาซกูลตนนึงเอ่ยถามอย่างลังเล
'อย่าบอกนะว่า...'
"ก็ตามนั้นแหละ" เจ้าตัวซุกคนในอ้อมกอดอย่างรักใคร่ไม่สนสายตาเหล่าพวกใต้บังคับบัญชา
สงครามเริ่มขึ้นได้ไม่นานข่าวการตายของโอษฐ์แห่งเซารอนที่ถูกสังหารโดยอารากอนก็ได้ไปถึงวิซคิงและนาซกูลทั้งแปด วิซคิงแผ่จิตสังหารออกมาอย่างอาฆาตแค้น ความโศกเศร้าเข้าเกาะกุมถึงขั้ววิญญาณกลายเป็นผู้นำเหล่านาซกูลที่โหดเหี้ยมจนแต่ก่อนไม่อาจเทียบได้
ความตายเท่านั้นที่จะทำให้บรรเทาความทรมาณนี้ ความตายของผู้ช่วงชิงบุคคลอันเป็นที่รักไป
แต่มันกลับไม่เป้นดั้งที่หวังเมื่อวิซคิงถูกสังหารโดยสาวชาวมนุษย์นามเอโอวีน
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว แหวนประมุขโดนทำลาย ไม่มีสิ่งใดลงเหลืออยู่อีกล้วนสลายไปในความมืดอันเจ็บปวด
ลาก่อน...
เสียงสายลมดัวแผ่วเหมือนพวกมันกำลังร้องเพลงขับขาน ใบไม้ร่วงกระทบผืนน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้าง เหล่าวิหคหลากสีพากันส่งเสียงไพเราะ แสงแดดยามบ่ายกระทบใบหน้าของ
ดาร์คเอลฟ์ที่แอบมานอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้สายน้ำที่ป่าเมิร์กวู้ด น้ำเสียงใสดังแว่วปลุกให้ต้องลืมตาขึ้น ใบหน้าหนุ่มชาวมนุษย์ปรากฏในสายตา
"อย่ามัวแต่นอนสิวิซคิง ถ้าไม่รีบไปนายท่านกับนูอาล่าจะรอนานนะ" เจ้าของดวงตาสีแดงกระจ่างดึงร่างนอนที่เอาแต่นอนให้ลุกขึ้นพร้อมสะกิดให้ดาร์คเอลฟ์หันไปมองร่างชายหนุ่มผมสีส้มเป็นลอนยืนถกเถียงกับสาวครึ่งแวมไพร์ครึ่งเอลฟ์อยู่ไม่ไกล
"อา ลุกแล้วๆ อย่าดึงแรงสิเจ้าโอษฐ์" และแล้วร่างทั้งสองก็เดินออกไปจากบริเวณนั้นด้วยรอยยิ้มประดับเอาไว้ สงครามจบลงไปนานแล้ว ในที่สุดจะได้ใช้ชัวิตสงบๆเสียที
END
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น