FanFic : witchking of angmar and mouth of sauron 01
FanFic : 《LORD OF THE RING》 : witchking of angmar & mouth of sauron : 01
Rate : PG (?)
คุยกันก่อน : FanFicนี้แต่งขึ้นเพื่อสนองneedของผู้เขียน โปรดอย่าหาสาระจากFanFicนี้//หัวเราะร่า
Rate : PG (?)
คุยกันก่อน : FanFicนี้แต่งขึ้นเพื่อสนองneedของผู้เขียน โปรดอย่าหาสาระจากFanFicนี้//หัวเราะร่า
เยื้องไปจากบูรพาทิศของอาณาจักรกอนดอร์...
เมฆหมอกหนาทะมึนแผ่กระจายเป็นวงกว้างปกคลุมดินแดนทั้งหมดจนยากจะแยกได้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนจากอำนาจของเซารอน ลอร์ดมืดแห่งมอร์ดอร์ ซึ่งบัดนี้ได้เปลี่ยนร่างของตนให้กลายเป็นนัยน์ตาสีแสดขนาดยักษ์บนยอดหอคอยทมิฬ สอดส่องทุกสรรพสิ่งที่อยู่รึย่างกายเข้ามายังดินแดนโดยมิเคยมีสิ่งใดรอดพ้นสายตาไปได้ราวกับว่าผู้ได้ที่จับจ้องไปยังดวงตานั้นจะถูกสูบวิญญาณออกไปจากร่างจนหมดสิ้น
เสียงควบม้าอย่างบ้าคลั่งจากเหล่าร่างสีดำดั่งลั่นไปทั่วมอร์ดอร์พร้อมเสียงกรีดร้องต่ำๆดังขึ้นเป็นระยะๆ หากมีผู้ผ่านมาได้ยินเสัยงนี้คงต้องหวาดผวาเป็นแน่ เสียงห้อตะบึงยังคงดังไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อยในที่สุดเสียงควบม้าได้เริ่มชะลอลง เมื่อเห็นลางๆว่ามีกำแพงสีดำตั้งตะหง่านทอดยาวไปถึงตีนเขาปิดกั้นเส้นขวางเอาไว้
ร่างที่นำหน้าสุดออกแรงดึงกระชับบังเหียนขึ้นให้ม้าหยุดวิ่ง มือข้างขวาละจากบังเหียนยกขึ้นเล็กน้อยกลางอากาศเป็นสัญญาณบอกให้หยุดแก่พวกที่อยู่ด้านหลัง
กำแพงนี้คือประตูดำ สร้างขึ้นเพื่อมิให้มีผู้ใดหรือสิ่งใดเข้ามาโดยไม่ได้รับบอนุญาติ แต่ก็ใช่รับอนุญาติจะได้รับอนุญาติให้เข้ามาได้ง่ายๆเพราะสิ่งที่อยู่ข้างหลังกำแพงนี้คือขุมกำลังกองทัพออร์คขนาดใหญ่ตั้งทัพเอาไว้อีก
ทั้งยังมีหอคอทมิฬตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน จะให้มีสิ่งใดเล็ดรอดเข้ามานั้นไม่ได้ไม่เว้นแม้แต่ฮอบบิทตัวจ้อยก็ตาม
เหล่าร่างสีดำรออยู่หน้าประตูดำเสียนาน ในที่สุดประตูก็เปิดอ้าออกพร้อมเสียงควบม้าดังออกมาช้าๆดังมาจากอีกฟากของประตู
"นึกว่าภูตแหวนจะมีกันทั้งหมดเก้าตนเสียอีก..." ร่างที่ดูบอบบางแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งเผยตัวออกมาจากประตูถามขึ้น "แต่นี่มีแค่แปดอีกตนนึงตายไปแล้วรึ..."ร่างโปร่งเหยาะม้าวนรอบร่างทั้งแปดอย่างเชื้องช้าด้วยน้ำเสียงปนเหยียดเล็กน้อย
"การที่พวกเจ้าเร่งควบม้ามากันขนาดนี้ แสดงว่าคงได้ข้อมูลเรื่องแหวนประมุขแล้วข้าพูดถูกไหม ได้เรื่องกว่าคิดข้าคิดไว้เสียอีก"
ร่างทั้งแปดเริ่มรู้สึกไม่อยากอยู่นิ่งเสียแล้วเมื่อโดนหยามจากร่างที่ดูอ่อนแอกว่า พวกเขาคือ นาซกูล ภูตแหวนที่เดิมทีเป็นผู้นำของพวกมนุษย์ แต่กลับหลงในอำนาจของแหวนแห่งกษัตริย์ที่ถูกหลอมขึ้นโดยเซารอนจนตกอยู่ใต้อำนาจของแหวนจนไม่สามารถถอนตัวคืนได้ กลายเป็นทาสรับใช้ของเซารอนและแหวนประมุข พวกเขาแข็งแกร่ง เป็นที่หวาดหวั่นไปทั่วทุกดินแดนที่ย่ำผ่าน การที่โดนหมิ่นเกียรติเช่นนี้ย่อมทำให้ร่างทั้งแปดยอม
อยู่เฉยไม่ได้
หนึ่งในแปดหมดความอดทนต่อผู้ที่อยู่เบื้องหน้า จึงตัดสินใจกระชากคมดาบขึ้นหมายริบหัวอีกฝ่ายว่าไม่ควรมาท้าทายฤทธิ์เดชของภูตแหวน แต่ยังไม่ทันที่คมดาบจะออกมาจากปลอกจนหมดก็ถูกดาบของผู้ที่ต้องการจะริบหัวจ่อไว้ที่ใต้คอเรียบร้อยแล้วโดยไม่ทันตั้งตัว สร้างความประหลาดใจให้เหล่านาซกูลได้ไม่น้อย นาซกูลที่โดนประชิดรู้ตัวแล้วว่าผู้ที่ท้าทายพวกตนนั้นมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา การที่โดนดาบของอีกฝ่ายจ่อไว้ใต้คอพร้อมจะที่สะบั้นทุกเมื่อเป็นหลักฐานเชิงประจักได้ดีเลยทีเดียว เจ้าตัวจึงเลือกที่จะค่อยๆเก็บดาบลงปลอกไปดังเดิม แม้เจ็บใจแต่ก็ต้องยอมรับ
"ดูจากเครื่องแต่งกายของพวกเจ้าแล้วคงไม่มีใครในที่นี้เป็นหัวหน้าสินะ" ร่างที่สวมเกาะบดบังใบหน้าช่วงบนทั้งหมดเอาไว้วิเคราะห์นาซกูลทั้งแปดตนตรงหน้าพร้อมเก็บดาบลงปลอกซึ่งเร็วไม่ต่างจากตอนที่ชักออกมา
"แล้วหัวหน้าของพวกเจ้าหายไป-"ยังไม่ทันที่คำถามจะเอ่ยมาจากปากที่ประดับด้วยแผลจนดูสยดสยองหมดก็ถูกกลบจากด้วยเสียงกรีดร้องสูงจากด้านบน
นาซกูลทั้งแปดพากันบังคับม้าให้ถอยร่นลงจนข้างหน้าเกิดที่ว่างเป็นบริเวณกว้าง เงาร่างขนาดใหญ่ร่อนลงบวิเวณที่ว่างนั้นอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้เหล่าร่างที่อยู่บนหลังม้ายกแขนขึ้นมากำบังเอาไว้ เมื่อฝุ่นหายไปจนหมดก็ปรากฎร่างของมังกรไร้เกล็ดสีเทาเหลือบดำเข้มที่เขี้ยวมากมายจนล้นออกจากปากประจักแก่สายตา มันแผดเสียงกรีดร้องออกมาอีกครั้งก่อนจะสงบลงแล้วหุบปีกที่กางเอาไว้
"นำทางข้าไปหาท่านเซารอนเดี๋ยวนี้เจ้าโอษฐ์แห่งเซารอน" เสียงทุ้มดังมาจากร่างของผู้ที่อยู่บนหลังมังกรกล่าวขึ้น และเมื่อเห็นว่าผู้ที่ทำให้เหล่านาซกูลใต้บังคับบัญชาของตนเกิดความรู้สึกอยากฆ่าทิ้งทำท่างเหมือนจะเถียงและหยอกล้อ จึงได้แผ่จิตสังหารออกไปใส่เข้าอย่างจังเพื่อตัดตามรำคาญที่จะเกิดขึ้นแล้วพูดย้ำอีกครั้ง "เดี๋ยวนี้"
ความกดดันจากจิตสังหารกระแทกเข้าโอษฐ์แห่งเซารอน ทำให้เกิดอาการสั่นไปทั่วร่างจนไม่สามารถควบคุมได้ ราวกับโดนคมดาบนับหมื่นเสือกแทงทะลุหัวใจจนแหลกเละพร้อมเหงื่อเม็ดโตปรากฎที่แผ่นหลังจำนวนนับไม่ถ้วน
"เข้าใจแล้ว...จะนำทางให้เดี๋ยวนี้" เจ้าตัวกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่แล้วนำพาร่างนาซกูลทั้งเก้าผ่านเข้าประตูดำ
เมื่อทุกร่างผ่านพ้นไปแล้วประตูดำกลับมาปิดเหมือนเดิมราวกับว่าไม่เคยมีผู้ใดเข้าและออกมาก่อน เป็นประตูดำที่แข็งแกร่งป้องกันภัยทุกอย่างจากข้างนอกเอาไว้ ในทางกลับกันก็กักขังทุกอย่างจากโลกภ่ยนอกเอาไว้เช่นกัน
โอษฐ์แห่งเซารอนนำทางนาซกูลทั้งเก้ามายังปราการขนาดใหญ่ไม่ต่างจากหอคอยทมิฬ ระหว่างทางพวกเขาผ่านกองทัพออร์คมากมาย พวกมันช่างน่ารังเกียจ สกปรก ไร้มารยาท โง่เขลา อ่อนแอพวกนาซกูลทั้งแปดพากันคิดกันไปต่างๆมากมายแต่มีสิ่งนึกที่คิดเหมือนกันคือ เป็นเหยื่อล่อชั้นดีที่มีให้สังเวยมากมายไม่ต่างจากมดปลวก
"วิซคิง-?" เสียงจากโอษฐ์แห่งเซารอนพึมพำขึ้นเบาๆ เรียกให้คนที่อยู่บนหลังมังกรเบนความสนใจจากพวกออร์คหันมาสนใจใคร่รู้
"เจ้าคือวิซคิง ราชาขมังเวทย์แห่งอังมาร์..."
"ใช่ ข้าคือวิซคิง" นึกว่าเรื่องอะไรที่แท้ก็แค่ชื่อ นึกว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก วิซคิงจึงถอนหายใจอย่างผิดหวังแล้วส่ายหน้าเบาๆ ฝ่ายที่เรียกชื่อจึงตัดสินใจมาเป็นฝ่ายถามเสียเอง "เจ้าอยู่ข้างในประตูนี้กับพวกออร์คนี่เท่านั้นรึ"
"โดยรวมแล้วใช่" เมื่อเริ่มพอทำใจรับได้กับจิตสังหารชวนคลื่นไส้ของวิซคิงน้ำ เสียงจึงกลับมามั่นคงอีกครั้ง
"ผ้าขาวในโคลน..." วิซคิงหลับตานึกภาพที่ตนได้ผ่านแล้วเห็นอาหารที่พวกออร์คทำ แค่คิดว่าโอษฐ์แห่งเซารอนอยู่ในกองทัพที่มีแต่พวกออร์คปัญญาต่ำๆก็อดที่จะนึกสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้
"ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่นะ" คนที่ถูกนำไปคิดพูดขึ้นออกมา ใครบ้าจะไปอยู่ร่วมกับออร์คซื่อบื้อพวกนั้นกัน ข้าเป็นถึงโอษฐ์แห่งเซารอนเชียวนะ เจ้าตัวบ่นอุบอิบอยู่ในใจ
เมื่อมาถึงปราการโอษฐ์แห่งเซารอนกระโดดลงจากหลังมาทันทีโดยมีพวกนาซกูลทั้งแปดกระโดดลงตามมาติดๆ เว้นเสียแต่วิซคิงที่ไม่ยอมลงจากหลังมังกร สร้างความฉงนให้พวกที่ยืนอยู่ข้างล่างไม่น้อย
"ข้าจะติดต่อนายท่านได้จากชั้นยอดสุดของปราการสินะ"
"ใช่ เจ้าต้องขึ้นบันไดเดินขึ้นไป ถ้าเจ้าคิดที่จะขี่มังกรขึ้นไปหล่ะก็ล้มเลิกไปได้เลยเพราะข้างบนไม่มีทางลงมา ส่วนช่องหน้าต่างเล็กเกินไป"
"ข้าทำลายมันได้" วิซคิงกระชับดาบข้างเอวแน่นเหมือนพร้อมฟาดฟันออกไปได้ทุกเมื่อ
"อย่าเชียว ไม่งั้น..." ไม่งั้น ข้าจะอาศัยอยู่ที่ไหนเล่า-!!! โอษฐ์แห่งเซารอนเลือกที่จะไม่พูดช่วงท้ายออกไปพ่วงริมฝีปากที่กระตุกเล็กน้อยเล็กน้อยเสียจนเห็นฟันเหลืองๆไปแถบนึงทีเดียว
นาซกูลทั้งแปดตนโยกหัวไปมาราวกับหัวเราะ ถ้าพวกมันพูดได้คงหัวเราะออกมาเสียแล้ว รึจริงๆแล้วพวกมันพูดได้แต่เลือกที่จะไม่พูดกันเพราะพวกมันสามารถสื่อกันทางใจได้ เข้าใจความคิดของกันและกัน ยิ่งคิดยิ่งดูพวกนาซกูลเป็นพวกโรคจิตชะมัด โอษฐ์แห่งเซารอนพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านในสมอง กว่าจะสะลัดความคิดออกไปได้พวกเขาก็เดินขึ้นมาถึงชั้นยอดสุดแล้ว
พื้นที่ว่างมีห้องขนาดใหญ่ถูกปิดกันเพื่อไม่ให้ผู้ใดรุกล้ำเข้าไปด้วยประตูหินสีขาวขนาดใหญ่แกะสลักลวดลายที่สวยงามเกิดกว่าเผ่าใดในมิดเดิลเอิร์ธจะสรรสร้างออกมาได้ดุจเป็นภูมิปัญญาที่สืบเนื่องมาจากเหล่าเทพเสียอย่างไรอย่างนั้น
วิซคิงผลักบานประตูเข้าไปช้าๆ หมอกควันค่อยๆลอยออกมาจากห้องที่ดูมืดสนิทไร้ซึ่งแสงไฟ ยังไม่ทันจะก้าวขาเข้าไปก็ยกมือที่สวมเกาะแขนกันร่างโปร่งเอาไว้ "ข้าจะเข้าไปคนเดียว" พูดจบก็เดินเข้าไปและปิดประตูทันที ทิ้งให้โอษฐ์แห่งเซารอนรออยู่ข้างนอก ถ้าช่วงบนไม่ถูกเกาะปิดเอาไว้หล่ะก็เหล่าภูตแหวนที่ไม่ได้ตามเข้าคงได้เห็นหัวคิ้วของคนที่โดนห้ามขมวดผูกกันแล้วผูกกันอีกจนเป็นปมนอกจากปากเบ้ๆเป็นแน่
ภูตแหวนพากันไปสุมหัวบริเวณต้นเสาขนาดใหญ่ที่ค้ำชั้นแต่ละชั้นของปราการเอาไว้ หัวทั้งแปดขยับดุ๊กดิ๊กไปมาดุจกำลังหารือกัน ช่างน่าตัดหัวทิ้งเสียจริง โอษฐ์แห่งเซารอนรู้สึกคันไม้คันมืออย่างห้ามไม่อยู่ แต่ความคิด
แปลกๆนี้ต้องเก็บลงเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากบริเวณที่พวกภูตแหวนอยู่
'พวกเจ้าเห็นรึป่าว หน้าไอ้เจ้าโอษฐ์นั่นตอนโดนจิตสังหารของวิซคิง'
'แน่นอน บูดเบี้ยวเสียจนน่าขันทีเดียวเชียว'
'หึๆ คิดว่าจะเก่งจนทนรับจิตสังหารได้เสียอีก'
'ปากก็น่าชังไม่ต่างจากพวกออร์คข้างนอกนั่น'
'จะให้ต่างได้ไงกันเพราะมันอาจเป็นออร์คเองเสียด้วยซ้ำ'
'หน้าตอนโดนวิซคิงห้ามไม่ให้เข้าไปด้วยก็ใช่ได้เมื่อกัน'
'ไม่ต่างจากหมาหงอย'
'พูดถูกๆ ไม่ต่างจากหมาหงอย'
เสียงแหลมสูงดังออกมาแวบนึกจากเหล่านาซกูลอย่างพร้อมเพียงแล้วยังคงดังไปอีกซักพักใหญ่ จนผู้ที่ถูกนินทาทนไม่ได้กับคำพูดพวกนั้น ข้าไปใช่ออร์คและข้าก็ไม่ใช่หมาด้วย ดาบที่อยู่ขว้างเอวถูกกระชากขึ้น
ด้วยความเร็วจนมองตามไม่ทันชี้ไปทางนาซกูลเสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมคำพูดต่ำๆอีกไม่น้อยพ่นออกมาจากปาก
"ถ้าจะนินทาคนอื่นไปนินทากันไกลๆสิหว่ะ ไอ้พวกผีเร่ร่อน ไอ้พวกเวร ไอ้พวก#*$£÷#¥¥!"₩" คำด่าสารพัดดังไม่หยุดไม่ย่อนออกมาจากปากโอษฐ์แห่งเซารอน ไม่นานคำด่าที่แสนเจ็บแสบก็หยุดลงเมื่อนาซกูลตนนึงขัดขึ้น
'เจ้าได้ยินพวกข้า' มันทักขึ้นแล้วพากันเอียงหัวอย่างสงสัยจับจ้องมาที่โอษฐ์แห่งเซารอน
"ก็เออดิ เต็มสองรู้หูเลย... เดี๋ยวนะ รึว่าพวกเจ้าพูดได้"เจ้าตัวเผยอปากขึ้นจนเห็นฟันอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าพวกมันพูดได้จริงรึไม่เนื่องจากใบหน้านั้นถูกปิดบังเอาไว้ นาซกูลทั้งหลายพากันชะงักกับคำพูดของคนที่ชี้ดาบมาทางพวกตน
'พวกข้าไม่ได้พูด' นาซกูลตนนึงกล่าวเรียบๆ
"แล้วไอ้ที่ข้าได้ยินและกำลังได้ยินอยู่นี่คืออะไรห๊ะ จะบอกว่าข้าละเมอรึไงกัน ไอ้พวกผีสกปรก"
'พวกข้าสื่อสารกันทางจิตต่างหากเล่า'
"อย่ามาแหล ถ้าสื่อสารกันทางจิตข้าจะได้ยินได้ยังไงกัน" แถมไอ้ที่ได้ยินไม่ดีต่อรูหูอีกด้วย
'ไอ้โอษฐ์นี่เอะอะก็ด่า ฆ่าทิ้งเสียดีไหม' นาซกูลที่เคยหาเรื่องโอษฐ์แห่งเซารอนเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกครั้ง ทำให้นาซกูลที่ข้างๆกุมมือเจ้าคนชอบหาเรื่องเอาไว้แน่นไม่ให้มันกระชากดาบออกมาฟัน
'ใจเย็น' นาซกูลตนนึงปลอบร่างเลือดร้อนเอาไว้ 'ข้าคิดว่าที่เจ้าได้ยินเสียงของพวกข้าเพราะวิซคิงสนใจในตัวเจ้าจึงได้มอบเสี้ยววิญญาณของภูตแหวนให้เจ้า'
สนใจในตัวข้าเนี่ยนะ แค่คิดก็เคลื่อนไส้แล้ว พวกนาซกูลโรคจิตชะมัดโอษฐ์แห่งเซารอนเบ้ปากกว้าง "ข้าไม่เห็นรู้สึกตัวเลย ให้ตอนไหนกัน"
'น่าจะตอนที่เจ้าโดนจิตสังหารของวิซคิง' เมื่อเห็นเจ้าคยตรงหน้าทำปากสงสัยทำให้นาซกูลต้องบอกต่อเพิ่ม 'ถ้าตอนนั้นเจ้าเจ็บเหมือนโดนคมดาบนับไม่ถ้วนแทงที่หัวใจล่ะก็ ก็เป็นตอนนั้นหล่ะ' นาซกูลไหวไหล่
'ขนาดรับแค่เสี้ยววิญญาณยังเป็นขนาดนั้นโดนมากกว่านี้เจ้าคงลงโลงเป็นแน่' นาซกูตอีกตนเปลี่ยนมาอยู่ในท่ากอดอก
"แล้วทำไมตอนก่อนเข้ามาในปราการนี้ข้าไม่ได้ยินห๊ะ แหลอีกแล้วเรอะไอ้พวกบัดซบเน่าหนอนเก่าเก็บ" โอษฐ์แห่งเซารอนแยกฟันใส่
'หน็อยแน่ไอ้เวรตไลเอ๊ย ถ้าข้าไม่เอาเลือกหัวเจ้าออกก็อย่ามาเรียกข้าว่าภูตแหวนเลย' นาซกูลเลือดร้อนพุ่งหมายจะกุมลำคอตรงหน้าแล้วชักดาบมาแทงไม่ยั้งมือสนองอารมณ์ตน ไวกว่าความคิดนาซกูลที่กำลังยืนอธิบายอยู่ด้านหน้ายกเท้าเตะซัดให้เจ้าอารมณ์ร้อนกระเด็ดออกไปไกล มันปัดฝุ่นที่กลายเล็กน้อยแล้วหันไปบอกนาซกูลอีกสองตนทีาอยู่ข้างหลัง
'พาเจ้านั้นไปสงบสติอารมณ์ก่อน' นิ้วมือชี้ไปยังนาซกูลที่โดนเตะไปไกลจนลุกไม่ขึ้นนอนกองอยู่กับพื้น นาซกูลทั้งสองพยักหน้าแล้วเดินไปหิ้วปีกร่างที่ไม่ได้สติไปไว้ตรงเสาอีกต้น เออ ให้มันนอนอยู่ตรงนั้นแหละ โอษฐ์แห่งเซารอนคิดมองภาพนาซกูลที่ชอบหาเรื่องนอนสลบบนตักนาซกูลอีกตน ส่วนอีกตนที่ช่วยหิ้วปีกก็เดินกลับมารวมกลุ่มดังเดิม
"คุยกันต่อได้ยัง แล้วทีนี่ก็บอกมาด้วยว่าทำไมข้าไม่ได้ยินตอนอยู่ด้านล่างนั้น"
'เจ้าได้รับแค่เสี้ยววิญญาณอยู่ไกลเกินไม่ได้ยินหรอก แถมเสียงพวกออร์คนั่นดังจะตายไป'นาซกูล ยื่นแขนทั้งสองข้างออกเล็กน้อยพร้อมยกไหล่เบาๆราวกับกำลังจะสื่อว่า ช่วยไม่ได้นี่ก็เจ้าได้รับแค่เสี้ยววิญญาณเอง
'บางทีเจ้าทำแรงไป' เสียงๆนึงพุ่งเข้ามาในความคิดของนาซกูลที่กำลังอธิบายจนต้องหันหน้าไปทางต้นเสียง
ที่มาของเสียงคู่หนึ่งในสองนาซกูลที่อยู่ตรงเสาอีกต้น 'ดูเสีย ขยับสะกิดแล้วยังไม่ยอมตื่นเลย' ไม่ว่าเปล่าก็ประเคนหมัดใส่หัวของร่างที่กำลังนอนอยู่บนตักของตน หมัดที่หนึ่งไม่รู้สึก หมัดที่สองไม่รู้สึกหมัดที่สามที่สี่
จึงตามมาติดๆ นาซกูลที่ลงมือเกินเหตุยกมือกุมหัวเหมือนนวดขมับปวดเองเบาๆ 'พอแล้ว ปล่อยให้มันหลับไป'
ภายในห้องมืดที่เต็มไปด้วยควันอยากต่อการมองเห็น วิซคิงกำลังยืนรอบางอย่าง บางอย่างที่ว่านั้นคือเซารอน เวลาผ่านไปแล้วผ่านไปเล่าก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มีเพียงวิซคิงกับห้องมืดที่ว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อเห็นว่าอยู่ต่อไปคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงเลือกที่จะตัดสินใจออกจากห้องไป เพียงแค่ปลายนิ้วแหลมของเกราะสัมผัสกับบานประตูแรงกดดันที่มากจนทำให้ร่างวิซคิงทรุดลงกับพื้น
"รอนิดรอหน่อยก็ไม่ได้รึวิซคิง"เสียงหวานทีายากจะแยกได้ว่าเป็นชายรึหญิงดังขึ้นจากด้านหลังวิซคิง
"นายท่าน-" น้ำเสียงของวิซคิงสั่นเครือ ลำคอแห้งผากราวกับขาดน้ำหล่อเลี้ยงมาแรมปี วิซคิงค่อยๆเคลื่อนตัวหันกลับไป
ร่างลางๆที่พอดูออกว่าเป็นมนุษย์ปรากฎขึ้น กายสีส้มเดินเอื่อยๆมายังวิซคิงแล้วหยุดลงตรงหน้าวิซคิง ร่างที่อยู่ตรงหน้าวิซคิงคือเซารอนที่มาในรูปแบบของดวงจิต แม้เป็นเพียงแค่ดวงจิตแต่ความน่ากลัวที่แผ่ออกมานั้นไม่ต่างจากร่างหลักแม้แต่นิด
"เอาหล่ะ วิซคิงบอกข้าสิ เรื่องแหวนของข้าคืบหน้าไปเพียงใดแล้ว" ดวงจิตเซารอนเดินวนรอบร่างที่นั่งกองอยู่กับพื้นที่หวาดหวั่นกับแรงกดดันของดันเอ่ยความด้วยน้ำเสียงเจือขบขันกับสภาพขุนพลของตน
"พะ พวกข้าได้ทรมาณกอลลัมเพื่อให้มันบอกเรื่องของแหวนประมุขมันบอกว่าไชร์...แบ๊กกิ๊นส์..." วิซคิงก้มหน้าไม่กล้าสบนายตน
"ดินแดนของพวกฮอบบิทไร้ค่า..." เสียงหวานกดต่ำลงใบหน้าของวิซคิงก็ยิ่งต่ำลงกว่าเดิมเช่นกัน "ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะวิซคิง" พลันร่างสีส้มได้อันตธายไปเหลือวิซคิงเพียงผู้เดียวดังเดิม
วิซคิงพยายามเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่ความกดดันที่เซารอนแผ่เอาไว้ยังไม่หายไป ทำไมกัน วิซคิงขบคิดอยู่ในใจ ความอึดอัดเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดทรมาณแล่นไปทั่วร่าง จากเดิมทีที่ทรุดอยู่กับพื้นเปลี่ยนเป็นนอนกองกับพื้นแทน แขนทั้งสองข้างเลื่อนมากุมที่หน้าอกซ้ายเหนือบริเวณหัวใจ ร่างกายงอเข้าหากันจนแทบขดป็นก้อนกลม
"นะ นาย...ท่าน นาย...ท่าน" เสียงของวิซคิงไม่ต่างจากคนใกล้ตายที่ชอบพูดละเมอเพ้อพกดังขึ้นเบาๆ "ข้า...เจ็บปวด...เหลือเกิน..."
ร่างสีส้มปรากฎขึ้นอีกครั้ง "เจ้ายังไม่ได้รับปากข้าว่าจะไม่คำให้ข้าผิดหวัง" เงาร่างเปลี่ยนมาอยู่ในท่านั่งยองๆข้างร่างของวิซคิง
"ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง" วิซคิงงัดแรงเฮือกสุดท้ายออกมาตอบเซารอนอย่างหนักแน่นพร้อมสติทั้งหลายที่หลายไปหลังกล่าวเสร็จ
"ดีมาก" เซารอนกล่าวอย่างอ่อนโยน เงาที่มองออกว่าเป็นมือยื่นไปแตะเหนือเกราะหมวกของวิซคิง แรงกดดันมหาศาลสลายไปจากร่างวิซคิงแล้ว
"จำความเจ็บปวดนี้ไว้วิซคิง หากเจ้าทำพลาดสิ่งที่เจ้าได้รับจะเจ็บปวดมากกว่านี้หลายพันเท่านัก" น้ำเสียงที่อ่อนโยนเปลี่ยนมาแผ่วเบา หากแหวนประมุขถูกทำลายทั้งข้า ทั้งเจ้าและพวกที่อยู่ข้างนอกคงถึงเวลาที่จะหายไป
เสียแล้ว เซารอนเอื้อมมือแตะไปประตูหินเบาๆแล้วสลายดวงจิตจากไป
เสียงประตูหินเปิดออก เรียกความสนใจจากพวกที่กำลังเถียงเรื่องไร้สาระกันอยู่ข้างนอกให้มาสนใจ เฝ้ามองร่างที่เข้าไปจะเดินออกมาแต่หามีไม่เห็นเพียงแต่เกราะมือที่รู้ว่าเป็นวิซคิงโผล่ออกมาเล็กน้อยเท่านั้น นาซกูล
ที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงรีบเข้าไปดู ประตูหินถูกดันให้เปิดกว้างขึ้น ร่างของวิซคิงปรากฎให้เห็นชัดต่อผู้ที่อยู่ด้านนอก
นาซกูลที่ถูกนาซกูลเลือดร้อนนอนบนตักอยู่ถึงกับลุกขึ้นโดยไม่ทันทั้งตัวปล่อยให้ร่างที่หลับอยู่กระแทกพื้น
'วิซคิง-!' นาซกูลที่อยู่ใกล้ที่สุดเขย่าร่างของวิซคิงอย่างร้อนรน วิซคิงเริ่มได้สติพึมพำออกมาไม่ได้ศัพท์แต่พอจับใจความว่าข้าไม่เป็นไรเสร็จก็กลับไปสลบดังเดิม กลายเป็นว่าตอนนี้มีนาซกูลสลบถึงสองตนเสียแล้ว
"ให้เข้าไปพักที่ห้องข้าก่อนก็ได้" โอษฐ์แห่งเซารอนพูดอย่างเฉื่อยชาจับจ้องไปยังร่างที่สลบอบู่ของวิซคิง โอษฐ์แห่งเซารอนนึกถึงสภาพตนที่เคยเข้าไปในห้องนั้นแล้วโดนแรงกดดันของเซารอนทำให้สลบอยู่ข้างในตื่นมาอีกทีก้พบว่าอยู่ที่ห้องพักของตนเสียแล้วแต่กลับมาได้อย่างไรอันนี้ก็ยังไม่รู้รู้เพียงแค่ว่าเวลาผ่านไปสิบกว่าวันเสียแล้ว
'ทำไมต้องไปพักที่ห้องเจ้า' นาซกูลตนนึงถาม
"ก็ตอนนี้มันว่างอยู่แค่ไม่ห้องเดียวไม่รวมห้องข้า ข้าก็จะให้พวกเจ้าพักด้วยกัน รึจะให้วิซคิงไปพักห้องนั้นส่วนพวกเจ้าไปอยู่ร่วมกับออร์ค"
'ไม่-' เสียงของนาซกูลตะโกนลั่นพร้อมกัน 'ให้วิซคิงไปพักกับเจ้า'
"ก็แค่นั้นแหละ" โอษฐ์แห่งเซารอนกล่าวอย่างหน่ายๆ
ปราการแห่งนี้แม้จะสูงแต่ก็มีห้องน้อยมองเพราะแต่ละชั้นล้วนเป็นชั้นว่างๆ ชั้นที่จะมีห้องก็มีอยู่แค่ไม่กี่ชั้น แต่ละห้องก็ถูกทำให้เต็มด้วยอาวุธต่างๆที่ใช้ในสงครามสำรองเก็บไว้ไม่ก็เป็นตำราแขนงต่างๆแทน
"เอาล่ะ เจ้าวางวิซคิงไว้ที่เตียงเสร็จแลเวก็ออกไปได้แล้วไป" เจ้าของห้องพยายามไล่นาซกูลที่แบกวิซคิงมาให้กลับไปห้องพักของตน
'อย่าคิดที่จะลักหลับวิซคิงเชียว' นาซกูลกำข้อมือของโอษฐ์แห่งเซารอนไว้แน่น
"ข้าไม่ทำหรอก ระแวงอยู่ได้กลับไปเสียไป" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมตกลงจึงปล่อยมือแล้วเดินออกจากประตูกลับห้องไป
เจ้าของห้องถอนหายใจอย่างอารมณ์เสียก่อนจะจัดการร่างกายของตนให้เรียบร้อยแล้วเอนกายลงบนเตียง เจ้าตัวไปกังวลแม้แต่น้อยว่าร่างจะไปเบียดอีกฝ่ายที่กำลังหลับอยู่เพราะเตียงที่ห้องนั้นมีขนาดนั้นใหญ่พอที่จะ
นอนได้ถึงสี่ห้าคน เบียดกันซักนิดครั้งได้ซักหกพอดีกับจำนวนนาซกูลที่อยู่อีกห้อง โอษฐ์แห่งเซารอนถอนหายใจออกมาครั้งสุดท้ายแล้วหลับไป
ในห้องพักอีกห้องนึง...
'ตอนที่เจ้าเข้าไปดูวิซคิง ข้ารู้สึกเหมือนเขาบอกอะไรเจ้า'
'ใช่เขาบอกอะไร บอพวกข้ามานะ'
เหล่านาซกูลเริ่มจับผิดนาซกูลที่เข้าไปดูวิซคิงตอนอยู่ชั้นยอดสุด นาซกูลตนในนั้นเดินถอยหลังจนติดกำแพง
'ว่าไงวิซคิงบอกอะไรเจ้า' นาซกูลทุกตนพาก้นเค้นถามข้อมูลจนฝ่ายถูกรุกล้ำอยากจะแทรกกำแพงหนี แต่ก็ไม่ทำทำเพียงก้มหน้าลงมองพื้นแล้วปล่อยเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกออกมาก
'หัวเราะอะไร' นาซกูลทั้งหลายพากันจ้องมองไปยังร่างข้างหน้า
'หึๆ จะไม่ให้หัวเราะได้ไง' ร่างนั้นเงยหน้าขึ้น 'ก็วิซคิงบอกว่าคืนนี้จะทำการสั่งสอนเจ้าโอษฐ์นั่นที่หยามเกียรติไง'
ความเงียบงันเข้าปกคลุมข้างในห้อง เสียงนาซกูลกรีดร้องออกมาเบาๆ
'ในสภาพนั้นเนี่ยนะ ข้าว่าไม่น่าจะไหว'
'ก็ไม่แน่ วิซคิงอาจจะทำได้ก็ได้ แข็งแกร่งออกปานนั้น และจริงๆอาจจะทำเพราะสนใจก็ได้'
'แต่สลบไปซะขนาดนั้นถึงสนใจจริงๆคงจะสอดใส่ไม่-" ไม่รอให้พูดจบหมัดหนักๆทั้งหกก็เสยให้เจ้านาซกูลที่กำลังจะพูดเรื่องไม่สมควรออกมาไปนอนหมดสภาพบนเตียงข้างๆร่างที่สลบไปก่อนหน้านั้น
'ถ้าอยากรู้ก็มีทางเดียวเท่านั้น...' นาซกูลตนนึงครุ่นคิด ใบหน้าเบนไปทางสหายที่ยังไปสลบเมือดแล้วเอ่ยคำออกมาสองพยางค์
'ถ้ำมอง'
TBC
"นำทางข้าไปหาท่านเซารอนเดี๋ยวนี้เจ้าโอษฐ์แห่งเซารอน" เสียงทุ้มดังมาจากร่างของผู้ที่อยู่บนหลังมังกรกล่าวขึ้น และเมื่อเห็นว่าผู้ที่ทำให้เหล่านาซกูลใต้บังคับบัญชาของตนเกิดความรู้สึกอยากฆ่าทิ้งทำท่างเหมือนจะเถียงและหยอกล้อ จึงได้แผ่จิตสังหารออกไปใส่เข้าอย่างจังเพื่อตัดตามรำคาญที่จะเกิดขึ้นแล้วพูดย้ำอีกครั้ง "เดี๋ยวนี้"
ความกดดันจากจิตสังหารกระแทกเข้าโอษฐ์แห่งเซารอน ทำให้เกิดอาการสั่นไปทั่วร่างจนไม่สามารถควบคุมได้ ราวกับโดนคมดาบนับหมื่นเสือกแทงทะลุหัวใจจนแหลกเละพร้อมเหงื่อเม็ดโตปรากฎที่แผ่นหลังจำนวนนับไม่ถ้วน
"เข้าใจแล้ว...จะนำทางให้เดี๋ยวนี้" เจ้าตัวกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่แล้วนำพาร่างนาซกูลทั้งเก้าผ่านเข้าประตูดำ
เมื่อทุกร่างผ่านพ้นไปแล้วประตูดำกลับมาปิดเหมือนเดิมราวกับว่าไม่เคยมีผู้ใดเข้าและออกมาก่อน เป็นประตูดำที่แข็งแกร่งป้องกันภัยทุกอย่างจากข้างนอกเอาไว้ ในทางกลับกันก็กักขังทุกอย่างจากโลกภ่ยนอกเอาไว้เช่นกัน
โอษฐ์แห่งเซารอนนำทางนาซกูลทั้งเก้ามายังปราการขนาดใหญ่ไม่ต่างจากหอคอยทมิฬ ระหว่างทางพวกเขาผ่านกองทัพออร์คมากมาย พวกมันช่างน่ารังเกียจ สกปรก ไร้มารยาท โง่เขลา อ่อนแอพวกนาซกูลทั้งแปดพากันคิดกันไปต่างๆมากมายแต่มีสิ่งนึกที่คิดเหมือนกันคือ เป็นเหยื่อล่อชั้นดีที่มีให้สังเวยมากมายไม่ต่างจากมดปลวก
"วิซคิง-?" เสียงจากโอษฐ์แห่งเซารอนพึมพำขึ้นเบาๆ เรียกให้คนที่อยู่บนหลังมังกรเบนความสนใจจากพวกออร์คหันมาสนใจใคร่รู้
"เจ้าคือวิซคิง ราชาขมังเวทย์แห่งอังมาร์..."
"ใช่ ข้าคือวิซคิง" นึกว่าเรื่องอะไรที่แท้ก็แค่ชื่อ นึกว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก วิซคิงจึงถอนหายใจอย่างผิดหวังแล้วส่ายหน้าเบาๆ ฝ่ายที่เรียกชื่อจึงตัดสินใจมาเป็นฝ่ายถามเสียเอง "เจ้าอยู่ข้างในประตูนี้กับพวกออร์คนี่เท่านั้นรึ"
"โดยรวมแล้วใช่" เมื่อเริ่มพอทำใจรับได้กับจิตสังหารชวนคลื่นไส้ของวิซคิงน้ำ เสียงจึงกลับมามั่นคงอีกครั้ง
"ผ้าขาวในโคลน..." วิซคิงหลับตานึกภาพที่ตนได้ผ่านแล้วเห็นอาหารที่พวกออร์คทำ แค่คิดว่าโอษฐ์แห่งเซารอนอยู่ในกองทัพที่มีแต่พวกออร์คปัญญาต่ำๆก็อดที่จะนึกสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้
"ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่นะ" คนที่ถูกนำไปคิดพูดขึ้นออกมา ใครบ้าจะไปอยู่ร่วมกับออร์คซื่อบื้อพวกนั้นกัน ข้าเป็นถึงโอษฐ์แห่งเซารอนเชียวนะ เจ้าตัวบ่นอุบอิบอยู่ในใจ
เมื่อมาถึงปราการโอษฐ์แห่งเซารอนกระโดดลงจากหลังมาทันทีโดยมีพวกนาซกูลทั้งแปดกระโดดลงตามมาติดๆ เว้นเสียแต่วิซคิงที่ไม่ยอมลงจากหลังมังกร สร้างความฉงนให้พวกที่ยืนอยู่ข้างล่างไม่น้อย
"ข้าจะติดต่อนายท่านได้จากชั้นยอดสุดของปราการสินะ"
"ใช่ เจ้าต้องขึ้นบันไดเดินขึ้นไป ถ้าเจ้าคิดที่จะขี่มังกรขึ้นไปหล่ะก็ล้มเลิกไปได้เลยเพราะข้างบนไม่มีทางลงมา ส่วนช่องหน้าต่างเล็กเกินไป"
"ข้าทำลายมันได้" วิซคิงกระชับดาบข้างเอวแน่นเหมือนพร้อมฟาดฟันออกไปได้ทุกเมื่อ
"อย่าเชียว ไม่งั้น..." ไม่งั้น ข้าจะอาศัยอยู่ที่ไหนเล่า-!!! โอษฐ์แห่งเซารอนเลือกที่จะไม่พูดช่วงท้ายออกไปพ่วงริมฝีปากที่กระตุกเล็กน้อยเล็กน้อยเสียจนเห็นฟันเหลืองๆไปแถบนึงทีเดียว
นาซกูลทั้งแปดตนโยกหัวไปมาราวกับหัวเราะ ถ้าพวกมันพูดได้คงหัวเราะออกมาเสียแล้ว รึจริงๆแล้วพวกมันพูดได้แต่เลือกที่จะไม่พูดกันเพราะพวกมันสามารถสื่อกันทางใจได้ เข้าใจความคิดของกันและกัน ยิ่งคิดยิ่งดูพวกนาซกูลเป็นพวกโรคจิตชะมัด โอษฐ์แห่งเซารอนพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านในสมอง กว่าจะสะลัดความคิดออกไปได้พวกเขาก็เดินขึ้นมาถึงชั้นยอดสุดแล้ว
พื้นที่ว่างมีห้องขนาดใหญ่ถูกปิดกันเพื่อไม่ให้ผู้ใดรุกล้ำเข้าไปด้วยประตูหินสีขาวขนาดใหญ่แกะสลักลวดลายที่สวยงามเกิดกว่าเผ่าใดในมิดเดิลเอิร์ธจะสรรสร้างออกมาได้ดุจเป็นภูมิปัญญาที่สืบเนื่องมาจากเหล่าเทพเสียอย่างไรอย่างนั้น
วิซคิงผลักบานประตูเข้าไปช้าๆ หมอกควันค่อยๆลอยออกมาจากห้องที่ดูมืดสนิทไร้ซึ่งแสงไฟ ยังไม่ทันจะก้าวขาเข้าไปก็ยกมือที่สวมเกาะแขนกันร่างโปร่งเอาไว้ "ข้าจะเข้าไปคนเดียว" พูดจบก็เดินเข้าไปและปิดประตูทันที ทิ้งให้โอษฐ์แห่งเซารอนรออยู่ข้างนอก ถ้าช่วงบนไม่ถูกเกาะปิดเอาไว้หล่ะก็เหล่าภูตแหวนที่ไม่ได้ตามเข้าคงได้เห็นหัวคิ้วของคนที่โดนห้ามขมวดผูกกันแล้วผูกกันอีกจนเป็นปมนอกจากปากเบ้ๆเป็นแน่
ภูตแหวนพากันไปสุมหัวบริเวณต้นเสาขนาดใหญ่ที่ค้ำชั้นแต่ละชั้นของปราการเอาไว้ หัวทั้งแปดขยับดุ๊กดิ๊กไปมาดุจกำลังหารือกัน ช่างน่าตัดหัวทิ้งเสียจริง โอษฐ์แห่งเซารอนรู้สึกคันไม้คันมืออย่างห้ามไม่อยู่ แต่ความคิด
แปลกๆนี้ต้องเก็บลงเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากบริเวณที่พวกภูตแหวนอยู่
'พวกเจ้าเห็นรึป่าว หน้าไอ้เจ้าโอษฐ์นั่นตอนโดนจิตสังหารของวิซคิง'
'แน่นอน บูดเบี้ยวเสียจนน่าขันทีเดียวเชียว'
'หึๆ คิดว่าจะเก่งจนทนรับจิตสังหารได้เสียอีก'
'ปากก็น่าชังไม่ต่างจากพวกออร์คข้างนอกนั่น'
'จะให้ต่างได้ไงกันเพราะมันอาจเป็นออร์คเองเสียด้วยซ้ำ'
'หน้าตอนโดนวิซคิงห้ามไม่ให้เข้าไปด้วยก็ใช่ได้เมื่อกัน'
'ไม่ต่างจากหมาหงอย'
'พูดถูกๆ ไม่ต่างจากหมาหงอย'
เสียงแหลมสูงดังออกมาแวบนึกจากเหล่านาซกูลอย่างพร้อมเพียงแล้วยังคงดังไปอีกซักพักใหญ่ จนผู้ที่ถูกนินทาทนไม่ได้กับคำพูดพวกนั้น ข้าไปใช่ออร์คและข้าก็ไม่ใช่หมาด้วย ดาบที่อยู่ขว้างเอวถูกกระชากขึ้น
ด้วยความเร็วจนมองตามไม่ทันชี้ไปทางนาซกูลเสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมคำพูดต่ำๆอีกไม่น้อยพ่นออกมาจากปาก
"ถ้าจะนินทาคนอื่นไปนินทากันไกลๆสิหว่ะ ไอ้พวกผีเร่ร่อน ไอ้พวกเวร ไอ้พวก#*$£÷#¥¥!"₩" คำด่าสารพัดดังไม่หยุดไม่ย่อนออกมาจากปากโอษฐ์แห่งเซารอน ไม่นานคำด่าที่แสนเจ็บแสบก็หยุดลงเมื่อนาซกูลตนนึงขัดขึ้น
'เจ้าได้ยินพวกข้า' มันทักขึ้นแล้วพากันเอียงหัวอย่างสงสัยจับจ้องมาที่โอษฐ์แห่งเซารอน
"ก็เออดิ เต็มสองรู้หูเลย... เดี๋ยวนะ รึว่าพวกเจ้าพูดได้"เจ้าตัวเผยอปากขึ้นจนเห็นฟันอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าพวกมันพูดได้จริงรึไม่เนื่องจากใบหน้านั้นถูกปิดบังเอาไว้ นาซกูลทั้งหลายพากันชะงักกับคำพูดของคนที่ชี้ดาบมาทางพวกตน
'พวกข้าไม่ได้พูด' นาซกูลตนนึงกล่าวเรียบๆ
"แล้วไอ้ที่ข้าได้ยินและกำลังได้ยินอยู่นี่คืออะไรห๊ะ จะบอกว่าข้าละเมอรึไงกัน ไอ้พวกผีสกปรก"
'พวกข้าสื่อสารกันทางจิตต่างหากเล่า'
"อย่ามาแหล ถ้าสื่อสารกันทางจิตข้าจะได้ยินได้ยังไงกัน" แถมไอ้ที่ได้ยินไม่ดีต่อรูหูอีกด้วย
'ไอ้โอษฐ์นี่เอะอะก็ด่า ฆ่าทิ้งเสียดีไหม' นาซกูลที่เคยหาเรื่องโอษฐ์แห่งเซารอนเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกครั้ง ทำให้นาซกูลที่ข้างๆกุมมือเจ้าคนชอบหาเรื่องเอาไว้แน่นไม่ให้มันกระชากดาบออกมาฟัน
'ใจเย็น' นาซกูลตนนึงปลอบร่างเลือดร้อนเอาไว้ 'ข้าคิดว่าที่เจ้าได้ยินเสียงของพวกข้าเพราะวิซคิงสนใจในตัวเจ้าจึงได้มอบเสี้ยววิญญาณของภูตแหวนให้เจ้า'
สนใจในตัวข้าเนี่ยนะ แค่คิดก็เคลื่อนไส้แล้ว พวกนาซกูลโรคจิตชะมัดโอษฐ์แห่งเซารอนเบ้ปากกว้าง "ข้าไม่เห็นรู้สึกตัวเลย ให้ตอนไหนกัน"
'น่าจะตอนที่เจ้าโดนจิตสังหารของวิซคิง' เมื่อเห็นเจ้าคยตรงหน้าทำปากสงสัยทำให้นาซกูลต้องบอกต่อเพิ่ม 'ถ้าตอนนั้นเจ้าเจ็บเหมือนโดนคมดาบนับไม่ถ้วนแทงที่หัวใจล่ะก็ ก็เป็นตอนนั้นหล่ะ' นาซกูลไหวไหล่
'ขนาดรับแค่เสี้ยววิญญาณยังเป็นขนาดนั้นโดนมากกว่านี้เจ้าคงลงโลงเป็นแน่' นาซกูตอีกตนเปลี่ยนมาอยู่ในท่ากอดอก
"แล้วทำไมตอนก่อนเข้ามาในปราการนี้ข้าไม่ได้ยินห๊ะ แหลอีกแล้วเรอะไอ้พวกบัดซบเน่าหนอนเก่าเก็บ" โอษฐ์แห่งเซารอนแยกฟันใส่
'หน็อยแน่ไอ้เวรตไลเอ๊ย ถ้าข้าไม่เอาเลือกหัวเจ้าออกก็อย่ามาเรียกข้าว่าภูตแหวนเลย' นาซกูลเลือดร้อนพุ่งหมายจะกุมลำคอตรงหน้าแล้วชักดาบมาแทงไม่ยั้งมือสนองอารมณ์ตน ไวกว่าความคิดนาซกูลที่กำลังยืนอธิบายอยู่ด้านหน้ายกเท้าเตะซัดให้เจ้าอารมณ์ร้อนกระเด็ดออกไปไกล มันปัดฝุ่นที่กลายเล็กน้อยแล้วหันไปบอกนาซกูลอีกสองตนทีาอยู่ข้างหลัง
'พาเจ้านั้นไปสงบสติอารมณ์ก่อน' นิ้วมือชี้ไปยังนาซกูลที่โดนเตะไปไกลจนลุกไม่ขึ้นนอนกองอยู่กับพื้น นาซกูลทั้งสองพยักหน้าแล้วเดินไปหิ้วปีกร่างที่ไม่ได้สติไปไว้ตรงเสาอีกต้น เออ ให้มันนอนอยู่ตรงนั้นแหละ โอษฐ์แห่งเซารอนคิดมองภาพนาซกูลที่ชอบหาเรื่องนอนสลบบนตักนาซกูลอีกตน ส่วนอีกตนที่ช่วยหิ้วปีกก็เดินกลับมารวมกลุ่มดังเดิม
"คุยกันต่อได้ยัง แล้วทีนี่ก็บอกมาด้วยว่าทำไมข้าไม่ได้ยินตอนอยู่ด้านล่างนั้น"
'เจ้าได้รับแค่เสี้ยววิญญาณอยู่ไกลเกินไม่ได้ยินหรอก แถมเสียงพวกออร์คนั่นดังจะตายไป'นาซกูล ยื่นแขนทั้งสองข้างออกเล็กน้อยพร้อมยกไหล่เบาๆราวกับกำลังจะสื่อว่า ช่วยไม่ได้นี่ก็เจ้าได้รับแค่เสี้ยววิญญาณเอง
'บางทีเจ้าทำแรงไป' เสียงๆนึงพุ่งเข้ามาในความคิดของนาซกูลที่กำลังอธิบายจนต้องหันหน้าไปทางต้นเสียง
ที่มาของเสียงคู่หนึ่งในสองนาซกูลที่อยู่ตรงเสาอีกต้น 'ดูเสีย ขยับสะกิดแล้วยังไม่ยอมตื่นเลย' ไม่ว่าเปล่าก็ประเคนหมัดใส่หัวของร่างที่กำลังนอนอยู่บนตักของตน หมัดที่หนึ่งไม่รู้สึก หมัดที่สองไม่รู้สึกหมัดที่สามที่สี่
จึงตามมาติดๆ นาซกูลที่ลงมือเกินเหตุยกมือกุมหัวเหมือนนวดขมับปวดเองเบาๆ 'พอแล้ว ปล่อยให้มันหลับไป'
ภายในห้องมืดที่เต็มไปด้วยควันอยากต่อการมองเห็น วิซคิงกำลังยืนรอบางอย่าง บางอย่างที่ว่านั้นคือเซารอน เวลาผ่านไปแล้วผ่านไปเล่าก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มีเพียงวิซคิงกับห้องมืดที่ว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อเห็นว่าอยู่ต่อไปคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงเลือกที่จะตัดสินใจออกจากห้องไป เพียงแค่ปลายนิ้วแหลมของเกราะสัมผัสกับบานประตูแรงกดดันที่มากจนทำให้ร่างวิซคิงทรุดลงกับพื้น
"รอนิดรอหน่อยก็ไม่ได้รึวิซคิง"เสียงหวานทีายากจะแยกได้ว่าเป็นชายรึหญิงดังขึ้นจากด้านหลังวิซคิง
"นายท่าน-" น้ำเสียงของวิซคิงสั่นเครือ ลำคอแห้งผากราวกับขาดน้ำหล่อเลี้ยงมาแรมปี วิซคิงค่อยๆเคลื่อนตัวหันกลับไป
ร่างลางๆที่พอดูออกว่าเป็นมนุษย์ปรากฎขึ้น กายสีส้มเดินเอื่อยๆมายังวิซคิงแล้วหยุดลงตรงหน้าวิซคิง ร่างที่อยู่ตรงหน้าวิซคิงคือเซารอนที่มาในรูปแบบของดวงจิต แม้เป็นเพียงแค่ดวงจิตแต่ความน่ากลัวที่แผ่ออกมานั้นไม่ต่างจากร่างหลักแม้แต่นิด
"เอาหล่ะ วิซคิงบอกข้าสิ เรื่องแหวนของข้าคืบหน้าไปเพียงใดแล้ว" ดวงจิตเซารอนเดินวนรอบร่างที่นั่งกองอยู่กับพื้นที่หวาดหวั่นกับแรงกดดันของดันเอ่ยความด้วยน้ำเสียงเจือขบขันกับสภาพขุนพลของตน
"พะ พวกข้าได้ทรมาณกอลลัมเพื่อให้มันบอกเรื่องของแหวนประมุขมันบอกว่าไชร์...แบ๊กกิ๊นส์..." วิซคิงก้มหน้าไม่กล้าสบนายตน
"ดินแดนของพวกฮอบบิทไร้ค่า..." เสียงหวานกดต่ำลงใบหน้าของวิซคิงก็ยิ่งต่ำลงกว่าเดิมเช่นกัน "ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะวิซคิง" พลันร่างสีส้มได้อันตธายไปเหลือวิซคิงเพียงผู้เดียวดังเดิม
วิซคิงพยายามเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่ความกดดันที่เซารอนแผ่เอาไว้ยังไม่หายไป ทำไมกัน วิซคิงขบคิดอยู่ในใจ ความอึดอัดเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดทรมาณแล่นไปทั่วร่าง จากเดิมทีที่ทรุดอยู่กับพื้นเปลี่ยนเป็นนอนกองกับพื้นแทน แขนทั้งสองข้างเลื่อนมากุมที่หน้าอกซ้ายเหนือบริเวณหัวใจ ร่างกายงอเข้าหากันจนแทบขดป็นก้อนกลม
"นะ นาย...ท่าน นาย...ท่าน" เสียงของวิซคิงไม่ต่างจากคนใกล้ตายที่ชอบพูดละเมอเพ้อพกดังขึ้นเบาๆ "ข้า...เจ็บปวด...เหลือเกิน..."
ร่างสีส้มปรากฎขึ้นอีกครั้ง "เจ้ายังไม่ได้รับปากข้าว่าจะไม่คำให้ข้าผิดหวัง" เงาร่างเปลี่ยนมาอยู่ในท่านั่งยองๆข้างร่างของวิซคิง
"ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง" วิซคิงงัดแรงเฮือกสุดท้ายออกมาตอบเซารอนอย่างหนักแน่นพร้อมสติทั้งหลายที่หลายไปหลังกล่าวเสร็จ
"ดีมาก" เซารอนกล่าวอย่างอ่อนโยน เงาที่มองออกว่าเป็นมือยื่นไปแตะเหนือเกราะหมวกของวิซคิง แรงกดดันมหาศาลสลายไปจากร่างวิซคิงแล้ว
"จำความเจ็บปวดนี้ไว้วิซคิง หากเจ้าทำพลาดสิ่งที่เจ้าได้รับจะเจ็บปวดมากกว่านี้หลายพันเท่านัก" น้ำเสียงที่อ่อนโยนเปลี่ยนมาแผ่วเบา หากแหวนประมุขถูกทำลายทั้งข้า ทั้งเจ้าและพวกที่อยู่ข้างนอกคงถึงเวลาที่จะหายไป
เสียแล้ว เซารอนเอื้อมมือแตะไปประตูหินเบาๆแล้วสลายดวงจิตจากไป
เสียงประตูหินเปิดออก เรียกความสนใจจากพวกที่กำลังเถียงเรื่องไร้สาระกันอยู่ข้างนอกให้มาสนใจ เฝ้ามองร่างที่เข้าไปจะเดินออกมาแต่หามีไม่เห็นเพียงแต่เกราะมือที่รู้ว่าเป็นวิซคิงโผล่ออกมาเล็กน้อยเท่านั้น นาซกูล
ที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงรีบเข้าไปดู ประตูหินถูกดันให้เปิดกว้างขึ้น ร่างของวิซคิงปรากฎให้เห็นชัดต่อผู้ที่อยู่ด้านนอก
นาซกูลที่ถูกนาซกูลเลือดร้อนนอนบนตักอยู่ถึงกับลุกขึ้นโดยไม่ทันทั้งตัวปล่อยให้ร่างที่หลับอยู่กระแทกพื้น
'วิซคิง-!' นาซกูลที่อยู่ใกล้ที่สุดเขย่าร่างของวิซคิงอย่างร้อนรน วิซคิงเริ่มได้สติพึมพำออกมาไม่ได้ศัพท์แต่พอจับใจความว่าข้าไม่เป็นไรเสร็จก็กลับไปสลบดังเดิม กลายเป็นว่าตอนนี้มีนาซกูลสลบถึงสองตนเสียแล้ว
"ให้เข้าไปพักที่ห้องข้าก่อนก็ได้" โอษฐ์แห่งเซารอนพูดอย่างเฉื่อยชาจับจ้องไปยังร่างที่สลบอบู่ของวิซคิง โอษฐ์แห่งเซารอนนึกถึงสภาพตนที่เคยเข้าไปในห้องนั้นแล้วโดนแรงกดดันของเซารอนทำให้สลบอยู่ข้างในตื่นมาอีกทีก้พบว่าอยู่ที่ห้องพักของตนเสียแล้วแต่กลับมาได้อย่างไรอันนี้ก็ยังไม่รู้รู้เพียงแค่ว่าเวลาผ่านไปสิบกว่าวันเสียแล้ว
'ทำไมต้องไปพักที่ห้องเจ้า' นาซกูลตนนึงถาม
"ก็ตอนนี้มันว่างอยู่แค่ไม่ห้องเดียวไม่รวมห้องข้า ข้าก็จะให้พวกเจ้าพักด้วยกัน รึจะให้วิซคิงไปพักห้องนั้นส่วนพวกเจ้าไปอยู่ร่วมกับออร์ค"
'ไม่-' เสียงของนาซกูลตะโกนลั่นพร้อมกัน 'ให้วิซคิงไปพักกับเจ้า'
"ก็แค่นั้นแหละ" โอษฐ์แห่งเซารอนกล่าวอย่างหน่ายๆ
ปราการแห่งนี้แม้จะสูงแต่ก็มีห้องน้อยมองเพราะแต่ละชั้นล้วนเป็นชั้นว่างๆ ชั้นที่จะมีห้องก็มีอยู่แค่ไม่กี่ชั้น แต่ละห้องก็ถูกทำให้เต็มด้วยอาวุธต่างๆที่ใช้ในสงครามสำรองเก็บไว้ไม่ก็เป็นตำราแขนงต่างๆแทน
"เอาล่ะ เจ้าวางวิซคิงไว้ที่เตียงเสร็จแลเวก็ออกไปได้แล้วไป" เจ้าของห้องพยายามไล่นาซกูลที่แบกวิซคิงมาให้กลับไปห้องพักของตน
'อย่าคิดที่จะลักหลับวิซคิงเชียว' นาซกูลกำข้อมือของโอษฐ์แห่งเซารอนไว้แน่น
"ข้าไม่ทำหรอก ระแวงอยู่ได้กลับไปเสียไป" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมตกลงจึงปล่อยมือแล้วเดินออกจากประตูกลับห้องไป
เจ้าของห้องถอนหายใจอย่างอารมณ์เสียก่อนจะจัดการร่างกายของตนให้เรียบร้อยแล้วเอนกายลงบนเตียง เจ้าตัวไปกังวลแม้แต่น้อยว่าร่างจะไปเบียดอีกฝ่ายที่กำลังหลับอยู่เพราะเตียงที่ห้องนั้นมีขนาดนั้นใหญ่พอที่จะ
นอนได้ถึงสี่ห้าคน เบียดกันซักนิดครั้งได้ซักหกพอดีกับจำนวนนาซกูลที่อยู่อีกห้อง โอษฐ์แห่งเซารอนถอนหายใจออกมาครั้งสุดท้ายแล้วหลับไป
ในห้องพักอีกห้องนึง...
'ตอนที่เจ้าเข้าไปดูวิซคิง ข้ารู้สึกเหมือนเขาบอกอะไรเจ้า'
'ใช่เขาบอกอะไร บอพวกข้ามานะ'
เหล่านาซกูลเริ่มจับผิดนาซกูลที่เข้าไปดูวิซคิงตอนอยู่ชั้นยอดสุด นาซกูลตนในนั้นเดินถอยหลังจนติดกำแพง
'ว่าไงวิซคิงบอกอะไรเจ้า' นาซกูลทุกตนพาก้นเค้นถามข้อมูลจนฝ่ายถูกรุกล้ำอยากจะแทรกกำแพงหนี แต่ก็ไม่ทำทำเพียงก้มหน้าลงมองพื้นแล้วปล่อยเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกออกมาก
'หัวเราะอะไร' นาซกูลทั้งหลายพากันจ้องมองไปยังร่างข้างหน้า
'หึๆ จะไม่ให้หัวเราะได้ไง' ร่างนั้นเงยหน้าขึ้น 'ก็วิซคิงบอกว่าคืนนี้จะทำการสั่งสอนเจ้าโอษฐ์นั่นที่หยามเกียรติไง'
ความเงียบงันเข้าปกคลุมข้างในห้อง เสียงนาซกูลกรีดร้องออกมาเบาๆ
'ในสภาพนั้นเนี่ยนะ ข้าว่าไม่น่าจะไหว'
'ก็ไม่แน่ วิซคิงอาจจะทำได้ก็ได้ แข็งแกร่งออกปานนั้น และจริงๆอาจจะทำเพราะสนใจก็ได้'
'แต่สลบไปซะขนาดนั้นถึงสนใจจริงๆคงจะสอดใส่ไม่-" ไม่รอให้พูดจบหมัดหนักๆทั้งหกก็เสยให้เจ้านาซกูลที่กำลังจะพูดเรื่องไม่สมควรออกมาไปนอนหมดสภาพบนเตียงข้างๆร่างที่สลบไปก่อนหน้านั้น
'ถ้าอยากรู้ก็มีทางเดียวเท่านั้น...' นาซกูลตนนึงครุ่นคิด ใบหน้าเบนไปทางสหายที่ยังไปสลบเมือดแล้วเอ่ยคำออกมาสองพยางค์
'ถ้ำมอง'
TBC
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น