BrotherS : บทที่1 พี่น้อง
เสียงโหวกเหวกยามสายปลุก อรุณ บุญพิทักษ์ธรรม ทายาทนักธุรกิจพันล้านที่เพิ่งเลิกงานจากบริษัทจนกลับบ้านมาดึกดื่นขึ้น ทำให้เข้าต้องลากสังขารลุกจากเตียงในสภาพงัวเงียเพื่อหาที่มาของเสียงที่น่ารำคาญนี้
อรุณเดินตามเสียงในสภาพกึ่งหลับกึ่งนอนไปเรื่อยๆจนถึงหน้าห้องรับแขกที่อยู่ชั้นล่าง ระหว่างทางก็มีชนนู่นชนนี่บ้างตามประสาคนยังไม่ตื่นดีแต่ที่อรุณชนแล้วเจ็บสุดๆคงเป็นหว่างนิ้วนางกับก้อยเท้าไปชนขอบขาโต๊ะนี่แหละ อรุณหยุดอยู่หน้าประตู เสียงโวยวายหายไปแล้วจึงตัดสิ้นใจเปิดประตูเข้าไป ดวงตาที่ปรืออยู่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าตนเอง
"คุณพ่อครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน" หนุ่มวัยยี่สิบห้าไว้ผมรองทรงสีน้ำตาลเข้มถามเสียงแผ่ว
ภาพตรงหน้าคือคุณพ่อ อนันต์ บุญพิทักษ์ธรรม เจ้าของบริษัทส่งออกสินค้าแถวหน้าของประเทศไทยที่อรุณทำงานอยู่นั่งข้างหญิงสาวหน้าตาดูไม่จัดจ้านมากนักซึ่งน่าอายุมากกว่าอรุณเพียงไม่กี่ปีกำลังอุ้มทารกไว้แนบอกประชันหน้ากับคุณแม่ ดาริกา บุญพิทักษ์ธรรม ที่จ้องด้วยสายตาเขม็ง
อรุณถอนหายใจเบาๆเมืาอพอเดาไว้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วจึงตัดสินใจไปนั่งลงข้างๆคุณแม่ของตน
"มีอะไรจะพูดไหมครับ" อรุณที่อยู่ในสภาพเสื้อยืดกับบ๊อกเซอร์กดเสียงต่ำถามขึ้น
อนันต์กระแอมสองสามทีพลางผายมือไปที่สองแม่ลูกผู้มาใหม่ "นี่คือมาลี บรรเลงกาล ภรรยาคนที่สองของพ่อ ส่วนเด็กนี่ เบิกฟ้า น้องชายของแก ปลายปีที่จะถึงนี้ก็ขวบแล้วจะมาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านเรา"
อรุณเงียบไปซักพักแต่สายตายังจับจ้องที่สองแม่ลูกไม่วางตา โดยเฉพาะเจ้าหนูที่ยังไม่ขวบดีนี่ "นี่มันบ้านของคุณพ่ออยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ"
"อรุณ-!!!" ดาริการ้องลั่น
"ลูกยอมรับพวกเขาแล้วใช่ไหม" อนันต์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกปิดความดีใจเลยซักนิด
"แต่ผมมีข้อแม้" อรุณพูดเสียงเข้มทำให้อนันต์ที่ยิ้มหน้าบานหุบทันที
"พวกเขาจะใช้นามสกุลบุญพิทักษ์ธรรมได้เมื่อผมยอมรับเท่านั้น"
อนันต์ดูอึ้งกับคำพูดของอรุณไม่น้อย มาลีหันหน้ามายิ้มบางให้อนันต์แล้วหันไปสบตากับอรุณ "ดิฉันกับลูกยินดีใช้นามสกุลบรรเลงกาลตามเดิมคะ" น้ำเสียงหนักแน่นกล่าวออกมาโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด
"ถ้าคุณไม่มีปัญหาก็ดีครับ หวังว่าคุณกับคุณแม่จะรักกันได้โดยเร็ววัน ผมไม่ชอบให้ครอบครัวมีปัญหา ขอตัวหล่ะครับ" อรุณลุกออกไปจากห้องนั่งเล่นมุ่งไปที่ห้องนอนโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้นกลับไปที่ห้องตัวเองแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราทันที
ผ่านไปไม่กี่ปีดาริกากับมาลีเริ่มปรับตัวให้เข้ากันได้ จนทั้งสองกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่คุยกันถูกคอ อรุณที่ยังไม่ยอมรับในมาลีและเบิกฟ้าย้ายไปอยู่คอนโดหรูใจกลางเมืองซึ่งนานๆจะกลับมาบ้านทีก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อ ไปแค่ตอนนี้ครอบครัวมีความสุขก็พอแล้ว ทุกอย่างดำเนินได้ด้วยดีจนเข้าปีที่สิบหก
"อรุณกับเบิกฟ้าไม่ไปจริงๆเหรอ" อนันต์ทำหน้าน้อยใจเมื่อได้ยินว่าลูกรักทั้งสองไม่ยอมไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วย
"โธ่คุณค่ะ คุณพึ่งยกธุรกิจให้อรุณสืบทอดไปเมื่อไม่นานนี่นะคะ ตอนนี้อรุณกำลังไปประชุมสัมมนาที่ต่างประเทศอยู่ด้วย"ดาริกาตอบอย่างเหนื่อยใจ
"เบิกฟ้าเขาก็ไปเข้าค่ายรด.อย่าลืมสิคะ" มาลีส่ายหัวเล็กน้อย
"เหอะ ไอ้ลูกชายพวกนั้นพ่อจะตัดออกจากกองมรดกให้หมดเลยคอยดู" อรุณพูดขึ้นขำๆก่อนจะขับรถพาภรรยาที่รักทั้งสองไปเที่ยวต่างจังหวัดตามสัญญาที่ให้กันเอาไว้
.
.
.
"ท่านประธานคะ มีโทรศัพท์ถึงท่านค่ะ" เลขาสาวน่าอกน่าใจสะบึมผมดำยาวสวมแว่นตากรอบสีแดงรีบเดินนำโทรศัพท์มาให้ด้วยท่าทีรีบร้อน
"ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้อัญชัญ" อรุณปรามอัญชัญเบาๆแล้วยื่นมือรับโทรศัพท์ก่อนที่คุณเธอจะล้มน่าแหกซะก่อน
"อรุณพูดสายครับ"
"คุณอรุณ บุญพิทักษ์ธรรมใช่ไหมครับ" เสียงในสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนใจอยู่ไม่น้อย
"ใช่ครับ ไม่ทราบว่ามีเรื่องครับ" หว่างคิ้วทั้งสองเริ่มย่นเข้าหากัน
"คือ...รถที่คุณอนันต์และครอบครัวนั่งไปประสบอุบัติเหตุโดนคนขับรถบรรทุกที่เมายาบ้าชนเสียชีวิตทั้งคันเลยครับ"
ไวกว่าความคิดอรุณปาโทรศัพท์ลงพื้นอย่างแรงจนอัญชัญที่ยืนอยู่ข้างๆตกใจสะดุ้งเฮือก
"บัดซบเอ๊ย-! อัญชัญจองตั๋วกลับไทยเดี๋ยวนี้" อรุณสบถลั่น เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นจากความตรึงเครียดจนเห็นได้ชัด
"แล้วการประชุมหล่ะคะ"
"ช่างมัน เลื่อนไปก่อน" อรุณเดินไปนั่งที่โซฟาที่อยู่ไม่ไกลเพื่อสงบสติอารมณ์ แม่งเอ๊ย
อรุณเดินตามเสียงในสภาพกึ่งหลับกึ่งนอนไปเรื่อยๆจนถึงหน้าห้องรับแขกที่อยู่ชั้นล่าง ระหว่างทางก็มีชนนู่นชนนี่บ้างตามประสาคนยังไม่ตื่นดีแต่ที่อรุณชนแล้วเจ็บสุดๆคงเป็นหว่างนิ้วนางกับก้อยเท้าไปชนขอบขาโต๊ะนี่แหละ อรุณหยุดอยู่หน้าประตู เสียงโวยวายหายไปแล้วจึงตัดสิ้นใจเปิดประตูเข้าไป ดวงตาที่ปรืออยู่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าตนเอง
"คุณพ่อครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน" หนุ่มวัยยี่สิบห้าไว้ผมรองทรงสีน้ำตาลเข้มถามเสียงแผ่ว
ภาพตรงหน้าคือคุณพ่อ อนันต์ บุญพิทักษ์ธรรม เจ้าของบริษัทส่งออกสินค้าแถวหน้าของประเทศไทยที่อรุณทำงานอยู่นั่งข้างหญิงสาวหน้าตาดูไม่จัดจ้านมากนักซึ่งน่าอายุมากกว่าอรุณเพียงไม่กี่ปีกำลังอุ้มทารกไว้แนบอกประชันหน้ากับคุณแม่ ดาริกา บุญพิทักษ์ธรรม ที่จ้องด้วยสายตาเขม็ง
อรุณถอนหายใจเบาๆเมืาอพอเดาไว้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วจึงตัดสินใจไปนั่งลงข้างๆคุณแม่ของตน
"มีอะไรจะพูดไหมครับ" อรุณที่อยู่ในสภาพเสื้อยืดกับบ๊อกเซอร์กดเสียงต่ำถามขึ้น
อนันต์กระแอมสองสามทีพลางผายมือไปที่สองแม่ลูกผู้มาใหม่ "นี่คือมาลี บรรเลงกาล ภรรยาคนที่สองของพ่อ ส่วนเด็กนี่ เบิกฟ้า น้องชายของแก ปลายปีที่จะถึงนี้ก็ขวบแล้วจะมาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านเรา"
อรุณเงียบไปซักพักแต่สายตายังจับจ้องที่สองแม่ลูกไม่วางตา โดยเฉพาะเจ้าหนูที่ยังไม่ขวบดีนี่ "นี่มันบ้านของคุณพ่ออยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ"
"อรุณ-!!!" ดาริการ้องลั่น
"ลูกยอมรับพวกเขาแล้วใช่ไหม" อนันต์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกปิดความดีใจเลยซักนิด
"แต่ผมมีข้อแม้" อรุณพูดเสียงเข้มทำให้อนันต์ที่ยิ้มหน้าบานหุบทันที
"พวกเขาจะใช้นามสกุลบุญพิทักษ์ธรรมได้เมื่อผมยอมรับเท่านั้น"
อนันต์ดูอึ้งกับคำพูดของอรุณไม่น้อย มาลีหันหน้ามายิ้มบางให้อนันต์แล้วหันไปสบตากับอรุณ "ดิฉันกับลูกยินดีใช้นามสกุลบรรเลงกาลตามเดิมคะ" น้ำเสียงหนักแน่นกล่าวออกมาโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด
"ถ้าคุณไม่มีปัญหาก็ดีครับ หวังว่าคุณกับคุณแม่จะรักกันได้โดยเร็ววัน ผมไม่ชอบให้ครอบครัวมีปัญหา ขอตัวหล่ะครับ" อรุณลุกออกไปจากห้องนั่งเล่นมุ่งไปที่ห้องนอนโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้นกลับไปที่ห้องตัวเองแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราทันที
ผ่านไปไม่กี่ปีดาริกากับมาลีเริ่มปรับตัวให้เข้ากันได้ จนทั้งสองกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่คุยกันถูกคอ อรุณที่ยังไม่ยอมรับในมาลีและเบิกฟ้าย้ายไปอยู่คอนโดหรูใจกลางเมืองซึ่งนานๆจะกลับมาบ้านทีก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อ ไปแค่ตอนนี้ครอบครัวมีความสุขก็พอแล้ว ทุกอย่างดำเนินได้ด้วยดีจนเข้าปีที่สิบหก
"อรุณกับเบิกฟ้าไม่ไปจริงๆเหรอ" อนันต์ทำหน้าน้อยใจเมื่อได้ยินว่าลูกรักทั้งสองไม่ยอมไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วย
"โธ่คุณค่ะ คุณพึ่งยกธุรกิจให้อรุณสืบทอดไปเมื่อไม่นานนี่นะคะ ตอนนี้อรุณกำลังไปประชุมสัมมนาที่ต่างประเทศอยู่ด้วย"ดาริกาตอบอย่างเหนื่อยใจ
"เบิกฟ้าเขาก็ไปเข้าค่ายรด.อย่าลืมสิคะ" มาลีส่ายหัวเล็กน้อย
"เหอะ ไอ้ลูกชายพวกนั้นพ่อจะตัดออกจากกองมรดกให้หมดเลยคอยดู" อรุณพูดขึ้นขำๆก่อนจะขับรถพาภรรยาที่รักทั้งสองไปเที่ยวต่างจังหวัดตามสัญญาที่ให้กันเอาไว้
.
.
.
"ท่านประธานคะ มีโทรศัพท์ถึงท่านค่ะ" เลขาสาวน่าอกน่าใจสะบึมผมดำยาวสวมแว่นตากรอบสีแดงรีบเดินนำโทรศัพท์มาให้ด้วยท่าทีรีบร้อน
"ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้อัญชัญ" อรุณปรามอัญชัญเบาๆแล้วยื่นมือรับโทรศัพท์ก่อนที่คุณเธอจะล้มน่าแหกซะก่อน
"อรุณพูดสายครับ"
"คุณอรุณ บุญพิทักษ์ธรรมใช่ไหมครับ" เสียงในสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนใจอยู่ไม่น้อย
"ใช่ครับ ไม่ทราบว่ามีเรื่องครับ" หว่างคิ้วทั้งสองเริ่มย่นเข้าหากัน
"คือ...รถที่คุณอนันต์และครอบครัวนั่งไปประสบอุบัติเหตุโดนคนขับรถบรรทุกที่เมายาบ้าชนเสียชีวิตทั้งคันเลยครับ"
ไวกว่าความคิดอรุณปาโทรศัพท์ลงพื้นอย่างแรงจนอัญชัญที่ยืนอยู่ข้างๆตกใจสะดุ้งเฮือก
"บัดซบเอ๊ย-! อัญชัญจองตั๋วกลับไทยเดี๋ยวนี้" อรุณสบถลั่น เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นจากความตรึงเครียดจนเห็นได้ชัด
"แล้วการประชุมหล่ะคะ"
"ช่างมัน เลื่อนไปก่อน" อรุณเดินไปนั่งที่โซฟาที่อยู่ไม่ไกลเพื่อสงบสติอารมณ์ แม่งเอ๊ย
แม่งเอ๊ย แม่งเอ๊ย เสียงในใจอรุณกู่ร้องซ้ำไปซ้ำมา
.
.
.
เบิกฟ้าก้าวลงจากรถบัสโรงเรียนที่รับกลับมาจากเขาชนไก่ เมื่อได้รับโทรศัพท์คืนก็เปิดเครื่องดูก็ต้องประหลาดใจจนร้องเห๊ยเมื่อเห็นเบอร์ที่ไม่มีชื่อเบอร์เดียวกันไม่ได้รับสายยาวเป็นหางว่าว จนเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ชะเง้อหัวมาดู
"โหว๊ยยยย มึงนี่ไม่ได้รับโทรศัพท์เยอะจังหว่ะ" ภูพาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่ค่าเทอมแพงแสนแพงถามขึ้น
"กูควรโทรกลับดีป่าวหว่ะ" เบิกฟ้าชั่งใจอยู่เล็กน้อย
จึ๊ก บริการภูผาจัดให้มาแล้ว นิ้วตัวดีของภูผากดจิ้มโทรออกใหเบิกฟ้าเรียบร้อยเหลือแค่รอคนทางนั้นรับสายเท่านั้น
"อ๊ะ รับแล้ว เอ่อไม่ทราบว่าใครครับ" เบิกฟ้าถามไปเรียบๆ
ปลายสายเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบมาสั้นๆ "อรุณ"
"พี่อรุณเหรอครับ" เบิกฟ้าทำตาโตเพราะเขากับอรุณไม่ได้พบกันมานานแล้ว ถึงแม้อรุณจะกลับบ้านมาบ้างแต่ก็ตรงกับเวลาที่เบิกฟ้าไปเรียนเลยไม่เคยเจอกันมาเกือบสองปีได้
"ห๊ะ- คุณพ่อกับคุณแม่หน่ะหรอ ได้ครับผมจะได้เดี๋ยวนี้" เบิกฟ้ารีบเก็บโทรศัพท์แล้วโบกรถแท็กซี่อยู่นานก็ไม่เป็นผล เมื่อเหล่าคนขับเอาแต่ตอบว่าส่งรถครับ/คะ จนเบิกฟ้ารู้สึกเท้ากระตุกเล็กน้อย
"เฮ้เบิกฟ้าไปกับกูก็ได้"ภูผาที่หายตัวไปเมื่อครู่ขับบิ๊กไบค์สีเขียวเหลือบดำที่จอดไว้ที่โรงเรียนมาเทียบใกล้ๆ
"ขอบใจมากนะเวร๊ยไว้กูเลี้ยงน้ำแข็งใสหน้าโรงเรียนคืน"เบิกฟ้ารีบกระโดดซ้อนท้ายภูผา
"เพื่อนกูงงจริงๆเลยเวร๊ย แบบนี้ต้องสั่งสอน" ภูผาหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วบิดบิ๊กไบค์ออกไปนอกโรงเรียน
.
.
.
เบิกฟ้าและภูผามาถึงโรงพยาบาลในเวลาไปถึงชั่วโมงด้วยความเร็วเกินกำหนดเพราะระหว่างทางเบิกฟ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ภูผาฟัง ภูผาเล่นจัดการบิดเต็มที่จนผมเสยไปข้างหลังกันทั้งคู่
"กูเอารถไปจอดก่อนนะเวร๊ย เดี๋ยวมา"
"เออๆ รีบๆมาหล่ะกัน" เบิกฟ้าพูดเสร็จก็รีบวิ่งไปตามสถานที่ที่อรุณนัดไว้ แต่ไม่ยักเห็นเลยซักนิดจึงตัดสินใจวิ่งไปดูอีกทาง
หมับ มือแกร่งราวกับคีมเหล็กคว้าข้อมือบางเอาไว้ร่างสีเขียวแก่ในชุดรด.หันกลับไปมองอะไรซักอย่างที่รั้งตัวเอาไว้ สายตาของเบิกฟ้าพินิจร่างคนตรงหน้าที่ไม่ได้เจอกันมานานช้าๆ
"พี่อรุณ?"
"เออ" ชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทาเข้มวัยสี่สิบสองไว้ผมเสยทอดสายตามองวัยรุ่นชายอายุสิบหกอย่างสิบเจ็ดที่กำลังทำหน้าตะลึง
ภูผาที่ตามมาสมทบทีหลังมองอรุณกับเบิกฟ้ามองทั้งคู่อย่างงงๆ
"หา- นั่นพี่ของเบิกฟ้าหรอฟะ ทำไมแก่จังหว่ะ" ภูผาบ่นกับตัวเอง
"ใช่แล้วค่ะ พวกเขาอายุต่างกันยี่สิบห้าปีเลยเห็นเป็นแบบนี้" เสียงหวานที่อยู่ข้างๆภูผาตอบ
"อ๋อ อย่างงี้นี่เอง เห๊ย!!!" ภูผาหันขวับไปมองทันทีเพราะไม่คิดว่าจะมีคนตอบคำถามของตนแล้วก็ต้องพบกับอัญชัญเลขาสาวหน้าตาจิกกัดเล็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
"โอ้แม่เจ้าโวร๊ยยยย นมใหญ่มาก" ภูผาพูดด้วยความลืมตัว
"ดิฉันจะขอเก็บคำชมนั้นไว้นะคะ" อัญชัญดันกรอบแว่นที่ตกลงขึ้นด้วยนิ้วกลางอย่างเป็นมารยาทพ่วงรอยยิ้มน้อยๆ
.
.
.
เบิกฟ้าก้าวลงจากรถบัสโรงเรียนที่รับกลับมาจากเขาชนไก่ เมื่อได้รับโทรศัพท์คืนก็เปิดเครื่องดูก็ต้องประหลาดใจจนร้องเห๊ยเมื่อเห็นเบอร์ที่ไม่มีชื่อเบอร์เดียวกันไม่ได้รับสายยาวเป็นหางว่าว จนเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ชะเง้อหัวมาดู
"โหว๊ยยยย มึงนี่ไม่ได้รับโทรศัพท์เยอะจังหว่ะ" ภูพาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่ค่าเทอมแพงแสนแพงถามขึ้น
"กูควรโทรกลับดีป่าวหว่ะ" เบิกฟ้าชั่งใจอยู่เล็กน้อย
จึ๊ก บริการภูผาจัดให้มาแล้ว นิ้วตัวดีของภูผากดจิ้มโทรออกใหเบิกฟ้าเรียบร้อยเหลือแค่รอคนทางนั้นรับสายเท่านั้น
"อ๊ะ รับแล้ว เอ่อไม่ทราบว่าใครครับ" เบิกฟ้าถามไปเรียบๆ
ปลายสายเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบมาสั้นๆ "อรุณ"
"พี่อรุณเหรอครับ" เบิกฟ้าทำตาโตเพราะเขากับอรุณไม่ได้พบกันมานานแล้ว ถึงแม้อรุณจะกลับบ้านมาบ้างแต่ก็ตรงกับเวลาที่เบิกฟ้าไปเรียนเลยไม่เคยเจอกันมาเกือบสองปีได้
"ห๊ะ- คุณพ่อกับคุณแม่หน่ะหรอ ได้ครับผมจะได้เดี๋ยวนี้" เบิกฟ้ารีบเก็บโทรศัพท์แล้วโบกรถแท็กซี่อยู่นานก็ไม่เป็นผล เมื่อเหล่าคนขับเอาแต่ตอบว่าส่งรถครับ/คะ จนเบิกฟ้ารู้สึกเท้ากระตุกเล็กน้อย
"เฮ้เบิกฟ้าไปกับกูก็ได้"ภูผาที่หายตัวไปเมื่อครู่ขับบิ๊กไบค์สีเขียวเหลือบดำที่จอดไว้ที่โรงเรียนมาเทียบใกล้ๆ
"ขอบใจมากนะเวร๊ยไว้กูเลี้ยงน้ำแข็งใสหน้าโรงเรียนคืน"เบิกฟ้ารีบกระโดดซ้อนท้ายภูผา
"เพื่อนกูงงจริงๆเลยเวร๊ย แบบนี้ต้องสั่งสอน" ภูผาหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วบิดบิ๊กไบค์ออกไปนอกโรงเรียน
.
.
.
เบิกฟ้าและภูผามาถึงโรงพยาบาลในเวลาไปถึงชั่วโมงด้วยความเร็วเกินกำหนดเพราะระหว่างทางเบิกฟ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ภูผาฟัง ภูผาเล่นจัดการบิดเต็มที่จนผมเสยไปข้างหลังกันทั้งคู่
"กูเอารถไปจอดก่อนนะเวร๊ย เดี๋ยวมา"
"เออๆ รีบๆมาหล่ะกัน" เบิกฟ้าพูดเสร็จก็รีบวิ่งไปตามสถานที่ที่อรุณนัดไว้ แต่ไม่ยักเห็นเลยซักนิดจึงตัดสินใจวิ่งไปดูอีกทาง
หมับ มือแกร่งราวกับคีมเหล็กคว้าข้อมือบางเอาไว้ร่างสีเขียวแก่ในชุดรด.หันกลับไปมองอะไรซักอย่างที่รั้งตัวเอาไว้ สายตาของเบิกฟ้าพินิจร่างคนตรงหน้าที่ไม่ได้เจอกันมานานช้าๆ
"พี่อรุณ?"
"เออ" ชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทาเข้มวัยสี่สิบสองไว้ผมเสยทอดสายตามองวัยรุ่นชายอายุสิบหกอย่างสิบเจ็ดที่กำลังทำหน้าตะลึง
ภูผาที่ตามมาสมทบทีหลังมองอรุณกับเบิกฟ้ามองทั้งคู่อย่างงงๆ
"หา- นั่นพี่ของเบิกฟ้าหรอฟะ ทำไมแก่จังหว่ะ" ภูผาบ่นกับตัวเอง
"ใช่แล้วค่ะ พวกเขาอายุต่างกันยี่สิบห้าปีเลยเห็นเป็นแบบนี้" เสียงหวานที่อยู่ข้างๆภูผาตอบ
"อ๋อ อย่างงี้นี่เอง เห๊ย!!!" ภูผาหันขวับไปมองทันทีเพราะไม่คิดว่าจะมีคนตอบคำถามของตนแล้วก็ต้องพบกับอัญชัญเลขาสาวหน้าตาจิกกัดเล็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
"โอ้แม่เจ้าโวร๊ยยยย นมใหญ่มาก" ภูผาพูดด้วยความลืมตัว
"ดิฉันจะขอเก็บคำชมนั้นไว้นะคะ" อัญชัญดันกรอบแว่นที่ตกลงขึ้นด้วยนิ้วกลางอย่างเป็นมารยาทพ่วงรอยยิ้มน้อยๆ
TBC
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น